“ตร.สอบสวนกลาง” รวบผู้ต้องหาหมายแดง “ชาวจีน” หนีคดียักยอก 1.4 หมื่นล้าน พร้อมแก๊งลวงเหยื่อสวมบัตรปชช.ไทย

"ตร.สอบสวนกลาง" รวบผู้ต้องหาหมายแดง "ชาวจีน" หนีคดียักยอก 1.4 หมื่นล้าน พร้อมแก๊งลวงเหยื่อสวมบัตรปชช.ไทย

วันนี้ ( 6 มี.ค.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) สั่งการให้ พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปราม (ผบก.ป.)พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง , เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ 4 ราย เป็นผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการจำคุกในคดีอื่น ประกอบด้วย

 

1. MR.LI (นายลี) สัญชาติจีน อายุ 43 ปี ,2. Ms.Aye (นางเอ้) สัญชาติเมียนมา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่13- 14/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568
ซึ่งทั้ง 2 ราย ถูกแจ้งดำเนินคดีฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันสนับสนุนพนักงานเจ้าหน้าที่ปลอมบัตรประชาชน, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่”

3. นายจิรภัทร อายุ 32 ปี
4. นายสุริยะ อายุ 57 ปี
5. นายพีระศักดิ์ อายุ 51 ปี
6. นายประวิตฯ อายุ 50 ปี

 

 

 

 

ทั้ง 4 ราย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 15-18/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568 ฐาน “เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่”

โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ตรวจยึดของกลาง 190 รายการ ประกอบด้วย
1. สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 14 เล่ม
2. เงินสด จำนวน 8,500 หยวน
3. บัตร ATM จำนวน 5 ใบ
4. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 14 เครื่อง
5. แท็บเล็ต จำนวน 1 เครื่อง
6. คอมพิวเตอร์ จำนวน 9 เครื่อง
7. บัตรขาว จำนวน 2 ใบ
8. หนังสือเดินทาง/บัตรประชาชน/เอกสารที่เกี่ยวข้อง 14 รายการ
9. รถยนต์ จำนวน 2 คัน
10. วัตถุคล้ายทองคำ 5 รายการ และ เอกสารอื่นๆ จำนวน 125 รายการ

ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก เมื่อช่วงปลายปี พ.ศ.2566 ได้มีผู้เสียหายซึ่งเป็นชายชาวจีน เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม เพื่อร้องขอความเป็นธรรม ในกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดทรัพย์ จำนวน 5 ล้าน เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งมูลเหตุในคดีนี้ สืบเนื่องมาจากช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2565 ผู้เสียหายได้เข้าไปยัง กลุ่มเฟซบุ๊กของคนจีน ซึ่งมีการโพสต์ประกาศแจ้งว่า สามารถจัดทำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และเอกสารอื่นๆ ของไทยให้กับคนจีนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยคิดค่าดำเนินการประมาณ 1 ล้านบาท

ต่อมา ผู้เสียหายหลงเชื่อว่า กลุ่มชาวจีนดังกล่าว สามารถทำบัตรและเอกสารประจำตัวที่ถูกต้องตามกฎหมายจริง จึงได้ติดต่อพูดคุยและขอให้ดำเนินการทำบัตรประชาชน จากนั้นจึงมีการนัดหมายให้ผู้เสียหายเดินทางไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาลจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน เมื่อถึงวันนัดหมาย ผู้เสียหายจึงเดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลดังกล่าว และได้พบนายลี พร้อมกับนางเอ้ (แฟนสาว) โดยนายลี ได้พาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาลดังกล่าว โดยมีขั้นตอนการถ่ายรูป และสแกนรอยนิ้วมือเหมือนกับการทำบัตรประชาชนทั่วไป แต่ไม่มีการกรอกข้อมูลเอกสารใดๆ ซึ่งภายหลังจากที่ผู้เสียหายทำตามขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว นายลีจึงได้นำบัตรประชาชนที่ปรากฎรูปหน้าผู้เสียหายมามอบให้ พร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้านอีก 1 ฉบับ (ซึ่งข้อมูลตามบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวปรากฎชื่อคนไทยคนเดียวกัน) หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงชำระค่าดำเนินการ โดยมอบเงินสด 1.1 ล้านบาท ให้นายลี

 

 

Web

 

กระทั่ง ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2565 ผู้เสียหายได้ตกลงให้นายลี ช่วยทำหนังสือเดินทางให้ โดยมีการนัดหมายกันที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ แต่ระหว่างที่นั่งรอกลุ่มนายลี ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 3 นาย เข้ามาควบคุมตัวผู้เสียหาย และนำตัวผู้เสียหายไปที่ทำการแห่งหนึ่ง พร้อมแจ้งว่า จะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เสียหายฐานปลอมแปลงเอกสาร พร้อมเสนอเงื่อนไขว่า ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดี ให้ผู้เสียหายนำเงินมาจ่าย 5 ล้านบาท แต่ได้มีการเจรจาตกลงกันจนเหลือ 2 ล้านบาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ผู้เสียหายโอนเงินเป็นสกุลเงินดิจิทัล USDT จำนวน 55,555 USDT (เปรียบเทียบเป็นเงินไทยจำนวน 2 ล้านบาท) เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลตามหมายเลขที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้ ก่อนจะปล่อยตัวผู้เสียหายไป และหลังจากเกิดเหตุผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายกลุ่มดังกล่าว

 

 

 

จากการสืบสวน พบว่า ในส่วนของการหลอกลวงผู้เสียหายให้ไปทำบัตรประชาชนนั้น มีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายกลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มผู้ชักชวนและดำเนินการพาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชน มีนายลี และนางเอ้ เป็นผู้ร่วมขบวนการ, 2.กลุ่มจัดหาบัตรประชาชนที่จะนำมาสวมสิทธิให้กับผู้เสียหาย โดยจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของบัตรประชาชนเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง และพบว่า มีการไปขอทำบัตรประชาชนใหม่หลังจากขายบัตรเพียงไม่กี่วัน จึงเชื่อว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำในครั้งนี้ และ 3.เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ทำบัตรประชาชน โดยเชื่อว่าน่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในการกระทำผิดของขบวนการดังกล่าว

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

สำหรับ กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายคน ดังนี้ 1.คนชี้เป้า มีหน้าที่ระบุตำแหน่งและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวผู้เสียหาย, 2.กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย และ 3.เส้นทางการเงินจากการประทุษร้าย ซึ่งพบว่ามีการโยกย้าย ถ่ายเท กันเป็นทอดๆ และถอนเงินออกที่บริษัทนอมินี จากการสืบสวนน่าเชื่อว่าคนในขบวนการเป็นผู้ชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบและเข้าทำการรีดทรัพย์ผู้เสียหายอีกทอดนึง

และจากการสืบสวนขยายผล เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. ยังพบว่า นายลีมีหมายแดงติดตัว ในความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ชาวจีน มูลค่าความเสียหาย 3,000 ล้านหยวน (คิดเป็นเงินไทยมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท) โดยนายลี ได้ก่อเหตุที่ประเทศจีนในช่วงปี พ.ศ.2558-2562 ก่อนจะหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2564 ซึ่งในระหว่างที่พัก อาศัยอยู่ในประเทศไทย นายลี ได้สวมบัตรหัวศูนย์ หรือบัตรขาว หรือบัตรบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ระบุชื่อเป็นนายจิน ไทยลื้อ เพื่อให้ตนเองมีสิทธิต่างๆ เทียบเท่ากับคนไทย จากนั้นจึงได้นำรูปแบบวิธีการที่ตนเองเคยสวมบัตรขาว มาใช้ในการเปิดเพจพาคนจีนไปทำเอกสาร และบัตรประจำตัวต่างๆ ในคดีนี้ นอกจากนี้ยังพบว่านายลี ได้มีการประกอบธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ที่ บริษัท อันเจีย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ อีกด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทฯ ดังกล่าว พบว่ามีการจดทะเบียนสถานที่จัดตั้งซ้ำกับบริษัทอื่นอีก 14 บริษัท โดยบริษัทเหล่านี้มีกลุ่มคนไทยเป็นนอมินี ถือหุ้นบริษัทโดยไม่ได้มีการลงทุนหุ้นจริง

ในส่วนของกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจนทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในกลุ่มดังกล่าวจำนวน 4 นาย ถูกจับกุมดำเนินคดีกรณีเรียกรับเงินสินบนจากชาวจีนจำนวน 10 ล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2566 ซึ่งมีพฤติกรรมในการก่อเหตุคล้ายกับคดีของผู้เสียหายรายนี้ด้วยเช่นกัน

ส่วนของกลุ่มจัดหาบัตรประชาชน พบว่ามีนายหน้าทำหน้าที่จัดหาบัตรประชาชนของคนไทยมาเพื่อใช้ในการสวมบัตร ซึ่งผู้ที่ขายบัตรประชาชนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวงผู้เสียหายทำบัตรประชาชน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย โดยศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาจำนวนทั้งสิ้น 6 หมายจับ โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ได้เปิดปฏิบัติการ “CIB Game on” รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน” โดยนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 70 นาย ลงพื้นที่ตรวจค้น 11 จุด ในพื้นที่ 7 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, เชียงใหม่, นนทบุรี, ชลบุรี และกรุงเทพฯ โดยเป็นการตรวจค้นจับกุมเป้าหมาย 26 เป้าหมาย (บุคคล 24 ราย และบริษัท 2 บริษัท) ซึ่งในส่วนของเป้าหมายที่เป็นตัวบุคคลทั้ง 24 เป้าหมาย แบ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 6 ราย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะต้องเชิญตัวมาเพื่อซักถามปากคำจำนวน 18 ราย
สามารถจับกุม นายลี และนางเอ้ พร้อมของกลางตามรายการดังกล่าวจากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่จึงนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ในส่วนของผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 4 ราย ซึ่งปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พนักงานสอบสวนจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สหรัฐฯคุยฮามาสโดยตรงหาทางปล่อยตัวประกัน-ทรัมป์เตือนครั้งสุดท้าย
ฝรั่งเศสเล็งขยายป้องปรามนิวเคลียร์แก่อียู
"นฤมล" นำเปิดเวทีสัมมนา เอเซียแปซิฟิก "เสริมพลังหญิงเพื่อระบบเกษตร-อาหาร" ย้ำสำคัญสตรีไทยเชื่อมสากลโลก
"ทางการจีน" จัด 6 เที่ยวบิน รับแก๊งคอลฯ "ชาวจีน" กลับไปดำเนินคดีที่บ้านเกิด
"แม่ทีม" แฉขบวนการผู้ป่วยทิพย์ "รพ.ทหารผ่านศึก" แบบละเอียดยิบ เผยโดนเตือนสติเลยเลิกทำ
“รมช.สุรศักดิ์” สั่งสพฐ. ย้ายด่วน รักษาการ ผอ.โรงเรียนกรุงเก่า กระทำอนาจารนักเรียน พร้อมดำเนินคดีถึงที่สุด
“นายกฯ” โทรคุยผู้นำมาเลย์ แก้น้ำท่วมโก-ลก ร่วมมือพลังงาน การค้า เร่งสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่
เอาจริง “จิราพร” เผยเตรียมสรุปมาตรการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมเสนอตั้ง คกก.กำกับดูแลระยะยาว
“รมช.มนพร” เผยคืบหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ เตรียมเสนอครม. 11 มี.ค.นี้
"อนุทิน" ลั่นบทสรุปกคพ.ไม่เกี่ยวดีลบ้านจันทร์ส่องหล้า พร้อมหนุนนายกฯรับศึกซักฟอก

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น