ขณะที่ห้องแยกการควบคุมของ “อดีตผู้กำกับโจ้” จะสามารถให้ญาติเข้าเยี่ยม หรือพบทนายความได้ทุกวัน และสามารถออกจากห้อง มาซื้อของใช้จำเป็นเช่น สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ยาสระผม ได้โดยมีผู้คุมติดตาม มีชั่วโมงผ่อนคลายนอกห้องขังที่บริเวณโถงกลางอีกไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน และสามารถลงไปร่วมกิจกรรมของผู้ต้องขัง เช่นการสวดมนต์ได้ในบางครั้งด้วย

นอกจากนี้ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ บอกด้วยว่า ศักดิ์ของห้องขังทั้งหมด มี 4 ระดับ คือ “ห้องขัง Super max” ความมั่นคงสูง ซึ่งมีอยู่แค่ที่เรือนจำ 5 แห่งในประเทศไทย สำหรับผู้ต้องขังที่กระทำความผิดร้ายแรง , รองลงมาคือ “ห้องขังเดี่ยว” , ถัดมาคือ “ห้องแยกการควบคุม” , และสุดท้ายคือ “ห้องขังรวม” ซึ่งผู้ต้องขังจะอยู่รวมกัน มีทีวีดู กลางวันก็ปล่อยมาทำกิจกรรมร่วมกัน ส่วน “อดีตผู้กำกับโจ้” ที่ต้องอยู่ “ห้องแยกการควบคุม” ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าตัวสมัครใจ อีกทั้งเพื่อลดการกระทบกระทั่ง จากการมีปากเสียงกันในแดน 7 จึงถูกย้ายไปแดน 5 และแยกการควบคุม

ส่วนกรณีที่ “ผู้กำกับโจ้” ร้องเรียนว่า ถูกผู้คุมทำร้ายร่างกายนั้น เดิมได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก่อนที่ “อดีตผู้กำกับโจ้” จะขอยุติเรื่องด้วยตนเอง

ส่วนผ้าขนหนูก็เป็นไปตามการจัดซื้อของกรมราชทัณฑ์ ขนาดความยาว 112 เซนติเมตร และกว้าง 57 เซนติเมตร สามารถนำเข้าไปในห้องขังได้ โดยภายในห้องจะมีผ้า 3 ผืน ตามระเบียบ คือผ้าปูนอน ผ้าห่ม และทำเป็นหมอนหนุน สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นมาก็คือผ้าเช็ดตัว เพราะอาบน้ำในห้องได้ โดยยืนยันว่า คดีนี้เป็นการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่การฆาตกรรม ยืนยันได้จากผลการชันสูตรพลิกศพของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ส่วนผลชันสูตรของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น ตนเองยังไม่ทราบผล แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ส่วนกรณีที่น้องสาวของ “อดีตผู้กำกับโจ้” ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ให้ย้ายผู้คุมที่มีปัญหากับ “อดีตผู้กำกับโจ้” และผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองเปรม ออกนอกพื้นที่ เพราะปล่อยปละละเลยนั้น ส่วนตัวเห็นว่า อำนาจการโยกย้ายเป็นของปลัดกระทรวงยุติธรรม และอาจเป็นการเสนอของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ร่วมด้วย ตนเองเชื่อว่าผู้บังคับบัญชาก็คงให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ทั้งญาติของ “อดีตผู้กำกับโจ้” และฝ่ายผู้บัญชาการเรือนจำ ถ้าโยกย้ายแล้วมีความไม่เป็นธรรม ผู้บังคับบัญชาก็คงจะพิจารณาให้ความเหมาะสม