“สำนักงานสลากฯ” ย้ำเตือน “ตู้นำโชค” ผิดกม. ยันลุยสางคดีค้างเก่า
ข่าวที่น่าสนใจ
ถือเป็นปัญหาใหญ่ สืบเนื่องจากการที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล แจ้งข้อมูลเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อซื้อแฟรนไชส์ตู้ขายสลากออนไลน์ โดยการนำชื่อตู้นำโชคมาเป็นเครื่องหมายการค้า เพราะกรณีนี้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้ตรวจสอบพบบุคคลที่นำแจ้งเป็นเจ้าของตู้ ไม่ใช่คู่สัญญาได้รับโควต้าจำหน่ายสลากออนไลน์กับสำนักงานฯแต่อย่างใด
จากนั้น ทีมข่าว “ท็อปนิวส์” ได้ลงพื้นที่ค้นหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ทราบว่าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้แจ้งให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบ และได้เชิญตัวแทนบริษัทเข้ามาสอบถาม จนได้ข้อมูลอีกว่า ทางบริษัทดังกล่าวได้ว่าจ้างบุคคลจำนวน 10 คน ไปซื้อสลากดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตังค์ แล้วแบ่งส่วนกำไรให้ใบละ 2 บาท จากจำนวนที่สั่งซื้อได้ในแต่ละงวด
ขั้นตอนจากนั้นทางบริษัทฯจะนำเลขสลากที่ได้มา มาคีย์เข้าระบบแอปของตู้ขายสลาก โดยคิดราคาขายปลีกใบละ 100 แต่ถ้าซื้อเลขชุดจะบวกราคาเพิ่มขึ้นอีกสูงถึงใบละ 130-150 บาท แล้วแต่จำนวนใบในชุดนั้น ๆ จากพฤติกรรมดังกล่าว กรมการปกครองเห็นว่าเป็นการตั้งวงเล่นพนัน วงใหม่ เข้าข่ายการผิดพ.ร.บ.การพนัน และได้ให้ฝ่ายนิติกร กรมการปกครอง ไปแจ้งความเอาผิดตามกฎหมายแล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยกับ “ทีมข่าวท็อปนิวส์” ว่ากรณีนี้เพิ่งทราบข้อมูลจากสื่อเหมือนกัน แต่ยืนยันว่า ทางบริษัทที่ปรากฎในข่าว ไม่ได้เป็นคู่สัญญาการซื้อสลากกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแน่นอน ส่วนการจะอ้างว่ามีสลากฯใบจริงนั้น เป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อ หากตั้งแต่แรกที่ได้ตรวจสอบพบ สำนักงานสลากฯให้ตัวแทนไปแจ้งความเอาผิดที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรีไว้แล้ว
และกรมการปกครอง ยืนยัน พบความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การพนันจริง จึงเป็นที่มาว่ากรมการปกครอง ส่งเจ้าหน้าที่ไปแจ้งความร้องทุกข์ด้วยเช่นกัน ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าว คือความผิดที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้ว ส่วนบริษัทผลิตตู้นำโชคทำคลิปมาบอกว่ามีสลากใบจริง เชื่อว่าต้องการแก้เกี้ยวมากกว่า ซึ่งทางบริษัทต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงฝากเตือนไปยังผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ตู้ดังกล่าว อาจเสี่ยงกระทำผิดกฎหมายไปด้วย เนื่องจากเป็นผู้สนับสนุนให้มีการเล่นพนันออนไลน์ ซึ่งมีโทษไม่ต่างจากการถูกดำเนินคดีในข้อหาเว็บพนันอีกด้วย
สำหรับปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยบริษัทเอกชนที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาไม่ได้มีเพียงกรณีนี้เพียงกรณีเดียว แบรนด์ “ลอตเตอรี่พลัส” ของ “นอท” ก็เป็นอีกหนึ่งที่มีการฟ้องร้อง ดำเนินคดีทางกฎหมาย เนื่องจากเป็นการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาที่กฎหมายกำหนด เพียงแต่ที่ผ่านมาแม้โดนปิดแพลตฟอร์ม “กองสลากพลัส” แต่มีการนำกลับมาสร้างแบรนด์ใหม่ในชื่อลอตเตอรี่พลัส โดยใช้ช่องโหว่กฎหมาย ว่าด้วยการควบคุมราคาขาย
แต่กระนั้นแม้จะมีข้ออ้างเรื่องานขายสลากฯในราคา 80 บาท แต่โดยพฤติการณ์ยังมีการบวกค่าบริการเช่าเซฟเก็บ ซึ่งผู้ที่ซื้อต้องยอมจ่ายไม่เช่นนั้นจะซื้อไม่ได้ ทำให้ผู้ซื้อจะต้องจ่ายเฉลี่ย 105 บาทต่อใบ ซึ่งปัจจุบันประเด็นปัญหาดังกล่าว ยังอยู่ในขั้นตอนการต่อสู้ทางคดี โดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องมีคำสั่งให้ปิดเว็บ “ลอตเตอรี่พลัส.com และ lotteryplus.co.th”
เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าข่ายการพนัน และละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ ‘นอท’ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอศาลคุ้มครองชั่วคราว และศาลมีคำสั่งคุ้มครอง ให้ยกเลิกการปิดกั้น “ลอตเตอรี่พลัส” ชั่วคราว และเปิดขายลอตเตอรี่ตามปกติ ตั้งแต่วัน 24 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นมา พร้อมการเดินหน้าโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทางช่องทางสื่อต่าง ๆ เสมือนไม่ได้กระทำสิ่งผิดกฎหมาย
สำหรับ นอท ลอตเตอรี่พลัส หรือ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ นั้น เคยถูกสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เข้าแจ้งความกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เพื่อดำเนินคดีในข้อหา “จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา” ซึ่งเจ้าตัวให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน ก่อนที่พนักงานสอบสวนจะส่งสำนวนคดีให้อัยการ และมีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ต่อมาเจ้าตัวกลับคำให้การในชั้นศาล ยอมรับสารภาพ เพื่อต้องการในคดีความจบโดยเร็ว ศาลจึงได้พิพากษาสั่งให้ปรับเป็นจำนวนเงิน 2,672,000 บาท
นอกจากนี้ นอท ลอตเตอรี่พลัส กับพวกรวม 41 คน ยังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน” แต่นำผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการจำนวน 17 ราย ส่วนที่เหลือหลบหนี และศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว โดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งสำนวนคดีให้กับอัยการคดีพิเศษพิจารณา
โดยอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง นอท ลอตเตอรี่พลัส กับพวกบางส่วน และมีคำสั่งไม่ฟ้องบุคคลบางส่วน จึงได้ตีกลับสำนวนมาให้ทางดีเอสไอ แต่ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความเห็นแย้งว่าต้องฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด จึงได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งในขณะนี้ ยังไม่มีคำสั่งออกมาแต่อย่างใด เนื่องจากสำนวนที่ส่งฟ้องมีจำนวนมากจึงอยู่ระหว่างการพิจารณา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น