“ทนายอนันต์ชัย” เดือดโพสต์ ฉะแรง 3 หน่วยงาน ปล่อย “แก๊งเชื่อมจิต” คืนชีพ ปฏิบัติไม่เหมาะสม

วันนี้ ( 17 มี.ค. 68) มีรายงานว่า นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความและ ประธานมูลนิธิกองทัพธรรม ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊ก ส่วนตัวเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ระบุว่า เพิ่งเห็นข่าวคราวว่ากลับมาเคลื่อนไหวของลัทธิเชื่อมจิตอีกครั้งเมื่อวานนี้ จึงขอตั้งคำถามดังๆ ไปที่ 3 หน่วยงานของรัฐ คือ

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) โดยระบุบางช่วงบางตอนว่า ตอนที่ทางมูลนิธิกองทัพธรรม ไปร้องทุกข์ กล่าวโทษเพื่อให้ดำเนินคดีกับลัทธิเชื่อมจิต ได้จัดทำเอกสารอย่างละเอียดและครบถ้วน สมบูรณ์และสรุปเนื้อหาให้จนพร้อมใช้งานไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง แต่แทนที่คดีจะรวดเร็วกลับช้าและขาดช่วง ซ้ำตนเองและมูลนิธิยังติดต่อหน่วยงานไม่ได้อีกเลยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนเกิดความอิดหนาระอาใจ เพราะไม่รู้ว่าบก.ปอท. จะดำเนินคดีนี้ไปในทิศทางใด และขอให้ดำเนินการให้ชัดเจนว่า จะฟ้องดำเนินคดีกับลัทธิเชื่อมจิตหรือไม่อย่างไร เพื่อที่ พี่น้องประชาชนที่ห่วงใยพระศาสนาจะได้ไปต่อถูก หากมีหน้าที่แต่กลับกระทำเช่นนี้ ต้องถือว่า ความล่าช้าคือ ความอยุติธรรม ดังนั้น จะสั่งอย่างไรก็รีบๆ ถ้าไม่ทำก็สั่งไม่ฟ้องยกเรื่องทิ้ง

หน่วยงานต่อมา คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราและดำเนินมาตรการให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งศาลในฐานะเป็นผู้ยื่นคำร้อง ทั้งที่ทราบดีว่าแก๊งเด็กเชื่อมจิต และคณะละเมิดคำสั่งศาล และ เหตุใดไม่รีบรายงานพฤติการณ์ดังกล่าวให้ศาลทราบเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับหรือขยายระยะเวลาในการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามที่เห็นสมควร พวกคุณต้องปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กเพราะเป็นอำนาจหน้าที่คุณอย่าเฉยนะครับ

และสุดท้าย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีการติดตามทวงถามผลคดีที่ได้มีการร้องทุกข์ กล่าวโทษก๊วนเด็กเชื่อมจิต ตามมติมหาเถรสมาคมที่ 424/2567 หรือไม่ ทั้งที่มหาเถรสมาคมออกมติว่าผิดและบิดเบือนพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน ทางหน่วยงาน ได้ดำเนินการในเรื่องคดีอย่างไร มีการเร่งรัดและร่วมมือกับพนักงานสอบสวนหรือไม่อย่างไร หรือปล่อยเรื่องทิ้งไปเลย ผมเหนื่อยใจกับหน่วยงานแห่งนี้ #รัฐบาลควรยุบให้ไปรวมกับกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ตามเดิมครับ อย่างน้อยที่สุดสมัยอยู่ที่นั้นวงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยก็เจริญรุ่งเรืองและสนองงานคณะสงฆ์เป็นอย่างดี รัฐไม่ต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเพิ่ม เมื่อแยกออกมาและมีชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแล้วกลับมีพฤติการณ์ทองไม่รู้ร้อน อ้างเพียงว่าคอยสนองงานคณะสงฆ์ ไม่มีหน้าที่ ไม่มีอำนาจ