อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทีมข่าว TOP NEWS ได้เคยสัมภาษณ์ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกลุ่มว้าแดง โดยทราบว่า เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวว่า มีทหารที่ฝึกเสร็จจากปางซาง ลงมาเติมกำลังในเขตว้าใต้ ประชิดชายแดนไทย ซึ่งการเติมกำลังในฐานที่ใกล้กับชายแดนไทยบริเวณ จ.แม่ฮ่องสอน ตัวเลขยังอยู่ในปริมาณที่ยังไม่สูงมาก คือฐานละ 5-10 นาย แต่ก็เป็นตัวเลขที่ประมาทไม่ได้ สำหรับทางการไทย เพราะฉะนั้นการยื้อเรื่องการเจรจาแบบนี้ ในขณะที่ฝั่งว้าก็เติมกำลังพลเข้ามา ฝั่งเราเองก็ควรเติมกำลังด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ อาจารย์ยังกล่าวด้วยว่า ทราบข่าวมาว่า มีเจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคชาวจีน เดินทางลงมาพร้อมกับกำลังพล เข้ามาในเขตทหารว้าใต้ด้วย ในเขตทหาร 171 ซึ่งแยกเป็นกองพลน้อย 4-5 กองพลน้อย แล้วฐานที่ตั้งอยู่ ไม่ไกลจากชายแดนไทย คาดว่าน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญชาวจีนมาสอนการใช้โดรนให้กับกองทัพว้า ซึ่งหากเทียบเคียงกับช่วงที่ตนได้ลงพื้นที่ ก็มีข่าวแว่วมาว่า มีโดรนของทหารว้า บินตรวจตราตามแนวชายแดนเป็นระยะ จุดนี้เองต้องจับตาให้ดี ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

อาจารย์ ยังกล่าวด้วยว่า ถ้าธงของผู้มีบทบาทในการกำหนดนโยบาย เค้าไม่ต้องการให้เปิดศึกปะทะกันในสนามชายแดน ปล่อยให้สถานการณ์เงียบไป ว้าก็จะตั้งฐานทหารที่เดิมในจุดที่มีปัญหา เช่น บริเวณดอยหัวม้า หรือหนองหลวง ซึ่งถ้าเราไม่ทำอะไร ว้าก็จะอยู่แบบนั้นตลอดไปตราบนานเท่านาน ทำให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยในบางจุดไปจริง ๆ ในอนาคต และทหารว้าก็อาจจะรุกล้ำเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ในทางกลับกัน หากรัฐบาลไทยมีการขยับบ้าง โดยการประสานกับกองทัพในการกดดันว้า อิทธิพลในอาณาบริเวณของเราก็จะเข้มแข็งขึ้น ก็จะเป็นการป้องปรามว้าได้ และในอนาคตเมื่อสบช่อง ก็ใช้ปฏิบัติการผลักดันว้าออกไปได้เช่นกัน