จากกรณีที่ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 133/2565 ระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผู้ฟ้องคดี) กับกรมธนารักษ์ (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยศาลปกครองพิพากษาว่า คดีพิพาทที่สำนักงานธนารักษ์ พื้นที่นครปฐม มีหนังสือให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑล พร้อมสิ่งปลูกสร้าง นำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย และมีหนังสือ แจ้งให้ดำเนินการสำรวจรายการที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงพุทธมณฑล เพื่อดำเนินการรับขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อไป เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และห้ามไม่ให้กรมธนารักษ์ นำที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500 ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ ตามข่าวที่เสนอไปนั้น

ล่าสุดแหล่งข่าวจากกรมธนารักษ์ ได้เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวข้างต้นว่า เพิ่งได้ทราบรายละเอียดคำพิพากษาศาลปกครอง ซึ่งคงต้องรอให้ มีการสั่งการและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในคดีว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร จึงจะมาพิจารณาอีกครั้งว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่อย่างไร

สำหรับคดีที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าเป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานรัฐ ซึ่งคงต้องจบที่ศาลปกครอง แต่ความเห็นของเราคือเราน่าจะเดินตามมติคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เคยวินิจฉัยไว้ให้ พื้นที่พุทธมณฑล อยู่ในความรับผิดชอบของกรมธนารักษ์ แต่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่ได้ผูกพันทุกหน่วยงาน จึงเกิดประเด็นเกี่ยวกับความเห็นต่างระหว่างกรมธนารักษ์และสำนักงานพระพุทธศาสนา ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องขัดแย้งหรือทะเลาะกันเพราะกรมธนารักษ์ก็มีที่ดินของกรมธนารักษ์ที่ต้องรับผิดชอบส่วนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็เช่นกันซึ่งที่ดินของทั้ง2หน่วยงานก็เป็นของรัฐอยู่ดี สิ่งที่ต้องการทราบคือสถานะของที่ดินผืนนี้ว่าเป็นที่ราชพัสดุหรือเป็นที่ดินของสงฆ์ซึ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดูแลรับผิดชอบ