แผนใช้จ่ายอย่างไม่เคยมีมาก่อน ที่สื่อเยอรมนีตั้งฉายาว่า เป็นงบประมาณไซซ์ XXL บ้างว่า เป็นปืนบาซูกาเงินสด อาจปูทางไปสู่การใช้จ่ายงบประมาณกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะ 10 ปีข้างหน้า การโหวตครั้งประวัติศาสตร์ในสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเยอรมนี ที่ขึ้นชื่อเรื่องการลังเลก่อหนี้ก้อนใหญ่ หรือใช้จ่ายงบทหารมากเกินไป เนื่องจากประวัติศาสตร์ด้านมืดในสงครามโลกครั้งที่สอง
พันธมิตรพรรค CDU/CSU ที่ชนะเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว กับว่าที่พรรคร่วมอย่าง พรรคโซเชียล เดโมแครตของนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ ที่กำลังจะหมดวาระ ต่างเห็นชอบแผนปฏิรูปด้านการคลังฉบับนี้ ซึ่งจะมีการผ่อนปรนมาตรการจำกัดการก่อหนี้ และจัดตั้งกองทุนวงเงิน 5 แสนล้านยูโร สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะ 12 ปี เช่น ซ่อมสะพาน ถนน และมาตรการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่วนในระยะสั้น รัฐบาลเยอรมนี มีแผนจะอนุมัติความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน เพิ่มอีก 3 พันล้านยูโร
พรรคขวาจัด ซ้ายจัด และพรรคเล็กแนวเสรีนิยม คัดค้านแผนใช้จ่ายฉบับนี้ แต่เมื่อลงคะแนน ก็ผ่านความเห็นชอบด้วยเสียงส่วนใหญ่ 513 ต่อ 207 เสียง แต่ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงอีกขั้นตอนหนึ่งในวันศุกร์นี้ จึงจะผ่านเป็นกฎหมายได้ ว่าที่รัฐบาลผสมชุดใหม่มั่นใจว่า จะไม่ติดอุปสรรคใด ๆ
เฟรดริช แมรซ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่วัย 69 กล่าวเรียกร้องให้ที่ประชุมผ่านความเห็นชอบ โดยชี้ว่า การปฏิรูปมีความจำเป็น ในห้วงเวลาภูมิรัฐศาสตร์โลกระส่ำระสาย อันมีจุดเริ่มจากรัสเซียรุกรานยูเครน สงครามของรัสเซียไม่ใช่สงครามในดินแดนอธิปไตยของยูเครนเท่านั้น แต่เป็นสงครามของรัสเซียต่อยุโรป โดยแมร์ซอ้างถึงการโจมตีไซเบอร์ เหตุลอบวางเพลิงต้องสงสัย และการปล่อยข่าวบิดเบือน
ว่าที่ผู้นำใหม่เยอรมนี กล่าวว่า แม้ความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งกับสหรัฐฯ ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ยุโรปจำเป็นต้องเพิ่มหลักประกันด้านความมั่นคงของตัวเอง และเยอรมนีควรมีบทบาทนำ เขาเชื่อว่า การใช้จ่ายงบทหาร จะเป็นก้าวใหญ่ก้าวแรกสู่ชุมชนใหม่แห่งการปกป้องยุโรป ที่อาจรวมประเทศนอกอียู อย่างอังกฤษและนอรเวย์ด้วย
อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ชื่นชมความเคลื่อนไหวของรัฐบาลเบอร์ลิน มองว่าเป็นข่าวที่วิเศษมาก เพราะเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนในยุโรปว่าเยอรมนีจะมุ่งมั่นลงทุนด้านการทหารครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับประธานาธิบดี เอ็มมานูแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และ มาร์ค รุตเตอ เลขาธิการนาโต ที่ยินดีกับการโหวตครั้งประวัติศาสตร์ ถือเป็นข่าวดีและส่งสัญญาณที่ทรงพลังสำหรับยุโรปและพันธมิตร
