สตีฟ วิตคอฟ ทูตพิเศษของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์รายการทางพอดแคสต์ของ ทัคเกอร์ คาร์ลสัน พิธีกรแนวขวาชื่อดังในสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (21 มีนาคม) เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นไปในทางชื่นชมประธานาธิบดีปูติน ว่า มีความตั้งใจเจรจายุติสงครามในยูเครน และการกล่าวอ้างว่า รัสเซียมีแผนจะโจมตีประเทศอื่นในยุโรปนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ
วิตคอฟ ซึ่งเคยพบปูตินมาแล้วสองครั้ง กล่าวว่า ในการเยือนมอสโกครั้งที่สอง เนื้อหาการพูดคุยของผู้นำรัสเซีย เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัวกับทรัมป์ ปูตินบอกว่า รู้สึกเป็นห่วงมากหลังจากที่ทรัมป์ตกเป็นเป้าลอบสังหาร ระหว่างหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีที่รัฐเพนซิลเวเนียเมื่อกรกฎาคมปีที่แล้ว ผู้นำรัสเซียรู้สึกเสียใจที่ทรัมป์ถูกยิง ไปเข้าโบสถ์พบกับบาทหลวงและสวดภาวนาให้กับทรัมป์ด้วย วิตคอฟ บอกว่าปูตินไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะคิดทรัมป์อาจได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่เพราะมิตรภาพที่มีกับทรัมป์ และสวดภาวนาให้กับเพื่อน
ระหว่างการเยือน / ประธานาธิบดีปูติน ยังฝากภาพวาดทรัมป์ที่มอบหมายจิตกรรัสเซียวาดให้ เป็นของขวัญให้กับทรัมป์ เมื่อกลับถึงสหรัฐฯ เขาได้นำสาส์นและมอบภาพวาดให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งทรัมป์รู้สึกประทับใจอย่างเห็นได้ชัด และว่านี่คือการเชื่อมต่อกันติดอีกครั้งด้วยคำง่าย ๆ ว่า การพุดคุยสื่อสาร ทูตพิเศษของทรัมป์ ยังปัดเสียงวิจารณ์ที่ว่า รัฐบาลทรัมป์ทอดไมตรีปูตินมากเกินไป โดยบอกว่า หนทางเดียวที่จะยุติสงครามในยูเครนได้ คือการพูดคุยกับทุกฝ่ายในความขัดแย้ง
วิตคอฟ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์และเพื่อนของทรัมป์ กล่าวว่า หลายคนอาจตั้งคำถามว่าเขาควรพบกับผู้นำรัสเซียหรือไม่ เพราะมองว่าปูตินคือผู้ร้าย แต่เขาไม่เห็นว่า ปูตินเป็นผู้ร้ายตรงไหน เขาชอบปูติน และชื่นชมปูตินว่า รับฟังและพูดคุยอย่างตรงไปตรงมา เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ปูตินตอบรับการพบปะกับเขา เคยมีเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลเตือนก่อนหน้านี้ให้ระวังอดีตเคจีบีอย่างปูติน แต่วิตคอฟ บอกว่า ปูมหลังนี้หมายความว่า ปูตินคือคนระดับหัวกะทิ เพราะในสมัยก่อน คนที่จะเข้าเป็น หน่วยสืบราชการลับอดีตสหภาพโซเวียตได้ คือคนฉลาดที่สุดในประเทศเท่านั้น
ส่วนการรุกรานยูเครนในปี 2565 ซึ่งถูกประณามว่าละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งกองกำลังรัสเซียยังกระทำการเข้าข่ายอาชญากรรมสงครามที่นั่นด้วย วิตคอฟ แก้ว่า การรายงานข่าวสงครามของสื่อ บิดเบือน นี่เป็นสถานการณ์ซับซ้อนของสงคราม ที่ไม่อาจโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียว มีส่วนประกอบหลายอย่างผสมปนเปจนนำไปสู่จุดนั้น ขณะยอมรับว่า การจะคลี่คลายสงครามในยูเครนได้ อยู่ที่การอ้างสิทธิของรัสเซียใน 4 ดินแดนตะวันออกในยูเครน ได้แก่ โดเเนตสก์ ลูฮันสก์ ซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน ซึ่งวิตคอฟ ระบุว่า ทุกฝ่ายรู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่มากแต่ยังไม่มีการแตะต้อง
ยูเครนค้านหัวชนฝาไม่ยอมสละดินแดน ตามเขตแดนที่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก แต่ทหารรัสเซียควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาคเหล่านั้น และจัดลงประชามติตัดสินว่าต้องการเข้าร่วมกับรัสเซีย แต่ตะวันตกและยูเครนประณามว่าเป็นประชามติลวงโลก แต่วิตคอฟ กลับชี้ว่า คนในพื้นที่พูดภาษารัสเซีย ผลการลงประชามติบ่งว่าเสียงส่วนใหญ่ต้องการอยู่ภายใต้รัสเซีย แต่ไม่ชัดเจนว่า ยูเครนจะสามารถตัดใจสละดินแดนได้หรือไม่ หากประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ยอมให้รัสเซียคุมดินแดน ก็อาจไม่สามารถอยู่รอดได้ทางการเมือง ทูตพิเศษสหรัฐฯเชื่อว่า รัสเซียไม่ได้ต้องการดินแดนยูเครนทั้งหมด และได้ส่วนที่ต้องการอย่าง 4 ภูมิภาคตะวันออกกับไครเมียไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะอยากได้เพิ่ม