เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์พอสมควรเลยทีเดียว หลังจากที่กัมพูชาเบี้ยวนัดการพูดคุยกับไทย ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมาว่า แท้จริงแล้วเบื้องลึกเบื้องหลังมันมีอะไรกันแน่ ทำไมถึงต้องขอเลื่อน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตอบนักข่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไร ทางกัมพูชาได้แจ้งตนมา ว่าจะขอเลื่อนการประชุม ก่อนที่ตนจะเดินทางไปยังมณฑล ซินเจียง ประเทศจีน และทางกัมพูชาได้มีการขอเลื่อนมาเป็นวันที่ 23 -25 มีนาคม แต่ตนติดประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงขอเลื่อนออกไป ซึ่งคาดว่าน่าจะได้มีการประชุมในช่วงต้นเมษายนนี้
คำว่า ต้นเม.ย.ล่าสุด เพจสไนเปอร์นิวส์ ได้มีการวิเคราะห์ถึงกรณีดังกล่าวในอีกมุมมองหนึ่งระบุว่า การประชุมในครั้งนี้ ฝั่งไทยอาจจะมีการพูดถึงกรณีที่กัมพูชา นำสตรีแม่บ้าน ทหาร มาร้องเพลงชาติบนปราสาทตาเมือนธม หรืออาจจะเป็นกรณีที่ทหารกัมพูชาประกาศตัดรั้วลวดหนาม รวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่มีความละเอียดอ่อน แต่ปรากฎว่ากัมพูชาเบี้ยว ผิดนัด ไม่อยากจะมา ซึ่งการประชุมที่จะเกิดขึ้นนั้น ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ฝ่าย ฝั่งไทยก็จะมีนายภูมิธรรม ส่วนทางฝั่งของกัมพูชา จะมี พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา ก็ถือว่าเทียบเท่ากัน โดยกัมพูชาต้องมาเยือนเราก่อน สลับกันไป สลับกันมา ทีนี้เลยเกิดข้อสงสัยว่าทำไมถึงไม่มา
เจ้าของช่องได้ตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ว่า ถ้าหากยกตัวอย่างเรื่องการทำธุรกิจเทียบเคียงกับกรณีนี้ เช่น ถ้าอีก 2 วันข้างหน้า จะถึงวันที่ต้องเซ็นสัญญาธุรกิจร้อยล้าน แล้วจะทำให้บริษัทเราได้รับกำไร ผลประโยชน์ คุณจะไปมั้ย เชื่อว่าทุกคนต้องไปแน่นอน แต่กรณีนี้เชื่อว่าทางกัมพูชาอาจจะชั่งน้ำหนักแล้วเห็น ว่าการเดินทางมาเจรจาฝั่งไทย คงตกลงอะไรกันไม่ได้อยู่แล้ว ไทยคงยึดคำมั่นเดิม ไม่มีอะไรให้กัมพูชาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แถมจะต้องมาเจอการเรียกร้องจากฝั่งไทยอีก ก็เลยเบี้ยว แต่การเบี้ยวมันก็ต้องมีเหตุผล ว่าทำไมเบี้ยว ทำไมไม่มา อยู่ดีๆ นัดแล้วก็ต้องมา ตามธรรมเนียม ตามระเบียบแล้วต้องมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อะไรกลับบ้านเลย ก็ต้องมา เพราะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ