“เท้ง” จัดหนัก “นายกฯอิ๊งค์” ปล่อยคนในครอบครัวชี้นำ ร่ายยาว “ดีลแลกประเทศ” คนไทยไม่ถึง1%ได้ประโยชน์ – Top News รายงาน
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ทำหน้าที่ในการพิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอธิปรายทั่วไปลงมติไม่ไว้วางใจ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน เป็นผู้เสนอ
โดยนายณัฐพงษ์ อภิปรายว่า นางสาวแพทองธาร เป็นผู้มีพฤติกรรมไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไปเนื่องจากมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม ในการดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหาร ไม่มีคุณสมบัติ ขาดวุฒิภาวะ และขาดเจตจำนงค์ในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่จะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชนได้ ส่งผลให้เกิดการทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศ จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองครอบครัวและพวกพ้องเป็นตัวตั้ง อยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนรวม และยังไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการเอารัดเอาเปรียบประชาชน สังคม โกหกหลอกลวงไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญากับประชาชนไว้ เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตย บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ล้มเหลว ร้ายแรงทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐ ทำลายระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภา ปล่อยปละละเลยทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นภายใต้การบริหารงานของตนเอง ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองที่เอื้อผลประโยชน์ ต่อพวกพ้องและกลุ่มทุน แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความรู้ความสามารถ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญในทีม นอกจากนี้ยังสมัครใจยินยอมให้บุคคลในครอบครัวชี้นำชักใย ประพฤติตนเสมือนเป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบุคคลในครอบครัวเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจใดๆ จากพฤติการณ์ดังกล่าว หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไปย่อมสืบมาซึ่งความเสียหายของประเทศชาติและประชาชนยากที่จะเยียวยาได้
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปี 2566 ประชาชน 40 ล้านคนเดินเข้าคูหาเลือกตั้งด้วยความหวังด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา ว่ารัฐสภาแห่งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขาได้ เพื่อหยุดทศวรรษแห่งความสูญเปล่า ยืนยันสิทธิความเป็นคนไทยของพวกเราทุกคน พอกันได้แล้ว กับ 9 ปีที่สูญเสียไปที่พวกเราถูกลิดลอนสิทธิ ถูกขโมยโอกาส ถูกกดขี่คุณภาพชีวิต ไม่ให้ลืมตาอ้าปาก แต่หากถ้าใครนอนหลับไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2561 แล้วตื่นขึ้นมาในวันนี้ หลายๆคนที่นอนหลับไปคงจะแปลกใจ ทำไมทุกอย่างช่างเหมือนเดิม ทำไมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในวันนั้น ถึงได้แนบแน่นแนบสนิทเนื้อเดียวกัน ไม่ต่างจากการปฏิวัติรัฐประหาร การบริหารราชการแผ่นดิน ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มพวกของตนเอง สะเปะสะปะไม่เป็นท่าปล่อยปละละเลยชีวิตประชาชนปล่อยให้คนไทยต้องเผชิญปัญหาต่างๆด้วยสองมือสองแขนและสองขาของตัวเอง เริ่มตั้งแต่ปัญหาไฟป่าไปจนถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ปัญหาทุนเทาไปจนถึงปัญหาชายแดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ ปัญหาการศึกษาไปจนถึง การขาดขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้องค่าไฟแพง รวมไปถึงปัญหาด้านการเกษตรปลาหมอคางดำ การทุจริตคอรัปชั่น ทุกวันนี้พวกเรายังเจอปัญหาแบบเดิมๆอยู่ ทำไมคนไทยถึงไม่มีโอกาสที่ได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงแน่วแน่ ที่จะมาแก้ไขปัญหาให้ ทำไมคนไทยถึงยังไม่มีโอกาสที่จะมีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ในการหาทางออกให้กับประเทศทั้งๆที่การเลือกตั้งในการในปี 2566 ที่ผ่านมาประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศลงมติกันแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง
เพราะรัฐบาลชุดนี้เริ่มต้นดำรงอยู่และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิดดีลแลกประเทศ ซึ่งผลประโยชน์ของคนตระกูลชินวัตร และครอบครัวยึดเป็นแกนกลาง และมีผลประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิด และเครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง ส่วนประเทศและประชาชนนั้นต้องรอออกไปก่อน เดี๋ยวใกล้วันเลือกตั้งพวกเราค่อยมากลับบทละครกันอีก ท่านายกฯแบบนี้คิดว่าประชาชนรู้ไม่ทันหรือไม่ พฤติการที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐาทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาจนถึงน.ส.แพทองธาร ที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลประเทศไทยยอมเป็นนั่งร้านให้กับกลุ่มอำนาจเดิมเพื่อใครเพื่อคนตระกูลชินวัตรไม่ใช่หรือ เพื่อให้บุคคลในครอบครัว ได้คุ้มอำนาจรัฐบาลให้บริวารได้เป็นรัฐมนตรีถึงเวลานี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่พวกเขาสงสัยไม่เป็นความจริงรัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้กับใคร เพราะพวกเขา ได้หลอมรวมกลายเป็นพวกเดียวกันไปแล้ว ทำงานร่วมกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย หัวเราะร่วมวงไปด้วยกันได้ไม่เกี่ยวกับ Generation หรือภูมิหลังใดๆ เพราะพวกเขาใช้วิธี ในการจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองกันผ่านสนามกอล์ฟเหมือนๆกัน ใช้อำนาจเปลี่ยนดำเป็นขาวเช่นเดียวกัน รู้ช่องทางทำมาหากินผ่านระบบราชการ เหมือนๆกัน ก็คือนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาล พูดภาษาเดียวกัน และเก็บเล่นเกมเดียวกันมาตั้งแต่แรก สังเกตได้ไม่ยากเรื่องไหนที่ สามารถเดินหน้าได้รวดเร็วที่ผิดปกติไม่สนคำทักท้วงรีบทำเรื่องรีบผลักดันก็คือเรื่องที่ดีลผลประโยชน์ลงตัว อย่างเช่นเรื่อง Entertainment Complex ที่เป็นวาระเร่งด่วนให้ความสำคัญ เหนือการแก้ไขปัญหาชาวนาหรือการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน