“โรม” ร่ายยาว 2 ชม.โยงสุดปมชั้น 14 สรุปเองนายกฯรู้เห็น ร่วมจนท.รัฐเอื้อ “ทักษิณ” ป่วยทิพย์
ข่าวที่น่าสนใจ
25 มีนาคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในประเด็นทำลายกระบวนการยุติธรรม กรณีให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะบิดาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น14ว่า นางสาวแพทองธาร เป็นนายกฯที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพราะนายกฯคือ ประจักษ์พยานและตัวการสำคัญต่อการทำผิดกฎหมายในเรื่องชั้น 14 เนื่องจากมีชื่อ 1 ใน 10 ที่สามารถเข้าเยี่ยมที่โรงพยาบาลตำรวจได้ นอกจากนี้ช่วงที่นายทักษิณได้กลับประเทศไทย เกิดในรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯในขณะนั้น ซึ่งการกลับประเทศดังกล่าวตนเชื่อว่ามีดีลลังกาวีเกิดขึ้น และภาพที่เดินทางมาถึงประเทศไทยคือคนที่สุขภาพแข็งแรง แต่ผ่านไป2 วันพบว่าทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพแถลงถึงอาการป่วย4โรคร้ายแรงและมีอาการวิกฤตที่ต้องส่งไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ดังนั้นมีไอ้โม่ง 2 ตัวใจดี (พล.อ.ประยุทธ์-วิษณุ) ลดแลกแจกแถมให้บิดานายกฯออกจากเรือนจำเพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเรื่องนี้นางสาวแพทองธารรู้เห็นทั้งหมด รวมถึงไม่มีการดำเนินคดีกับไอ้โม่งตามที่สัญญากับประชาชน เพราะพ่อได้กลับบ้านแล้ว นี่คือดีลแลกประเทศที่นายกฯ สมคบเพื่อช่วยเหลือพ่อตัวเองไม่ให้นอนคุกแม้แต่วันเดียว
นายรังสิมันต์ อภิปรายต่อว่า นอกจากนั้นยังพบการร้องขออภัยโทษเฉพาะราย หลังจากที่นายทักษิณพักในโรงพยาบาลตำรวจแล้ว7 วัน ซึ่งนางสาวแพทองธารอกตัญญู ไม่ดำเนินการ ทำให้นายทักษิณต้องดำเนินการด้วยตนเอง ทั้งที่มีอาการป่วยหนัก ปางตาย ต้องเตรียมเอกสารเพื่อร้องฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษด้วยตนเอง ทั้งนี้ตนมองว่านายกฯ รู้ว่าพ่อไม่ป่วย จึงให้เขียนขออภัยโทษเอง ซึ่งกรณีดังกล่าวมีรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ระบุว่ามีอาการป่วยวิกฤตสลับปกติ จึงเป็นการย้อนแย้ง และนายกฯ ทำเรื่องตบตาประชาชนเรื่องอาการป่วย เพื่อได้อภิสิทธิของการพักรักษาตัวระดับวีวีไอพีที่โรงพยาบาลตำรวจ นายกฯ ปกปิดอาการป่วย เพื่อให้ไม่ให้คนติดคุกแม้แต่วันเดียว และมีการสมคบคิด ซึ่งเป็นนายกฯจอมหลอกลวง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงแต่งตั้งบุคคลที่ช่วยเหลือพ่อให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง อวยยศ หน้าที่การงาน รวมถึงได้รับการปูนบำเหน็จเพิ่มเติมในรอยต่อรัฐบาล นายเศรษฐา และนางสาวทองธาร
โดยเฉพาะแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ที่ได้นั่งให้เป็นกรรมกรอิสระของบอร์ดบริษัทเอกชน ได้เงินนับล้านบาทต่อปี และเป็นตัวเต็งรองผบ.ตร. ก่อนเกษียณ นอกจากนั้นยังให้หมอที่ลงนามในใบความเห็นแพทย์เพื่อรักษาตัวต่อ ซึ่งชื่อย่อ พล.ต.ท. ส.ม. ซึ่งเป็นพี่ชายของ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งย้ายมาอยู่กับพรรคเพื่อไทยมีส่วนได้เสียหรือไม่ ซึ่งคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าเป็นการตอบแทนทางการเมือง เอาความยุติธรรมและผลประโยชน์แลกเพื่อคนในครอบครัว
นายรังสิมันต์ อภิปรายอีกว่า ยังพบข้อมูลว่าระหว่างรักษาตัว มีบุคคลนอกรายชื่อ คือ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล และพลตำรวจเอกเสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส เข้าเยี่ยม ซึ่งมีรายละเอียดว่ามีการกินอยู่ระดับหรู นอกจากนั้นแล้วยังมีประเด็นด้วยว่านายทักษิณแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่ง1วันให้หลังจากที่แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์แถลงว่ามีอาการป่วยหนัก แสดงให้เห็นว่านายทักษิณที่แพทย์บอกว่ามีอาการป่วยหนัก สามารถมีโทรศัพท์มือถือไว้ใช้ได้ ไม่ถูกจำกัดสิทธิใดๆ ทั้งนี้คนที่มีมือถือไว้ใช้ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าพ่อค้ายาเพื่อสั่งการ ซึ่งในกรณีนี้นายใหญ่ถือเป็นเจ้าพ่อเครือข่ายทางการเมืองที่ชั้น 14 อีกทั้งเห็นนายกฯ อาจเอาโทรศัพท์ไปให้ใช้ระหว่างควบคุมตัว คือการละเมิดกฎหมายราชทัณฑ์ และยืนยันว่านายทักษิณไม่มีการป่วยวิกฤต แต่คือ ป่วยทิพย์ เพราะหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ไม่พบว่ามีการเข้ารับการรักษาตัวต่อ ถือเป็นการโกหก ส่วนการพักโทษนั่นไม่ตรงกับความจริง อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ซึ่งถูกคาดหวังต่อการตรวจสอบต่อความยุติธรรม อย่าให้การเข้าเรียนหลักสูตร บยส.23 ที่แพทย์ใหญ่กับประธาน ป.ป.ช.ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมาเป็นอุปสรรคตรวจสอบ
นายรังสิมันต์ อภิปรายสรุปว่าการกระทำของนายกฯ และคณะ ไม่ต่างจากพานักโทษแหกคุก และสิ่งที่นายกฯและพวกดำเนินการ คือ การสมรู้ร่วมคิดของหน่วยงานโรงพยาบาลตำรวจและราชทัณฑ์ สิ่งที่นายกฯ ทำครบองค์ประกอบกฎหมายอาญามาตรา 209 และมาตรา 210 ฐานอั้งยี่ ซ่องโจร ซึ่งบทบัญญัติกำหนดโทษร้ายแรง เชื่อว่าหากมีการทะลายซ่องโจรจันทร์ส่องหล้าสามารถเอาผิดคนจำนวนมากได้ อีกทั้งเหตุที่นายทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว เป็นเพราะการกระทำที่ผิดกฎหมาย นายกฯและลูกสมุนทำดีลแลกประเทศ จนทำลายหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรม ถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมาย ขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ
ทั้งนี้นายรังสิมันต์ ใช้เวลาอภิปรายนานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างการอภิปรายของนายรังสิมันต์นั้น มีสส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และ สส.พรรคเพื่อไทยลุกประท้วงกรณีพาดพิงถึงบุคคลภายนอกอยู่เป็นระยะ ซึ่งประธานในที่ประชุมได้พยายามควบคุม โดยย้ำถึงเวลาที่มีจำกัดที่ต้องยุติการอภิปรายก่อนเที่ยงคืน เพื่อให้สามารถลงมติได้ในวันถัดไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น