ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนยอดการรับวัคซีนในขณะนี้ พบว่ามีการฉีดวัคซีนไปแล้ว 55 ล้านโดส แบ่งเป็นวัคซีนเข็ม 1 ฉีดแล้ว 32,987,918 คน หรือ คิดเป็น 45.8% ,เข็มที่ 2 ฉีดแล้ว 20,696,791 คน หรือคิดเป็น 28.7% อย่างไรก็ตามเนื่องจากจำนวนวัคซีนได้มีการทยอยเข้ามาเพิ่มมากขึ้น จึงได้ปรับเป้าหมายในการฉีดวัคซีนใหม่ เป็นในปี 2564 จะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 120 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 60 ล้านโดส ,เข็ม 2 จำนวน 52 ล้านโดส และเข็ม 3 จำนวน 7 ล้านโดส ส่วนในปี 2565 เป้าหมายฉีดวัคซีน 86 ล้านโดส เน้นการฉีดวัคซีนในกลุ่มตกค้าง มีตั้งแต่อายุ 3-11 ปี เข็มที่ 1 จำนวน 6 ล้านโดส ,เข็มที่ 2 จำนวน 8 ล้านโดส และเข็ม 3 จำนวน 66 ล้านโดส
ส่วนการเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับเด็กที่เริ่มดำเนินการวันนี้ ได้กระจายวัคซีนลงไปในระดับอำเภอ เพื่อเตรียมความพร้อมฉีดให้กับนักเรียนในแต่ละพื้นที่ โดยในส่วนของเด็กหญิงส่วนใหญ่ไม่กังวลเรื่องการรับวัคซีน เพราะเคยรับวัคซีนมะเร็งปากมดลูกมาแล้ว เบื้องต้นการฉีดวัคซีนในเด็กหญิงจะให้รับครบทั้ง 2 เข็ม ส่วนเด็กชายเบื้องต้นรับเข็ม 1 ไปก่อน เพื่อลดความห่วงกังวลเรื่องการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ที่พบได้ในเด็กชาย ในการรับวัคซีนเข็ม 2 โดยในระหว่างนี้รอดูข้อมูลทางวิชาการในการรับวัคซีนเข็ม 2 ในเด็กชายจากต่างประเทศเพื่อประกอบการพิจารณา
นายแพทย์โอภาส กล่าวอีกว่า การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในการรับวัคซีนชนิด m-RNA พบได้ประมาณ 10-20 ต่อแสนประชากร เช่นเดียวกับการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในธรรมชาติ โดยการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจในเด็กชาย ส่วนใหญ่จะเกิดหลังรับวัคซีน ชนิด m-RNA เข็มที่ 2 ในวันที่ 0-5 วัน พร้อมย้ำประโยชน์ของการรับวัคซีนมีมากกว่าไม่รับวัคซีน สำหรับจำนวนวัคซีนไฟเซอร์ที่สั่งซื้อเข้ามา 30 ล้านโดส ได้ทยอยเข้ามาก่อน 2 ล้านโดส และได้กระจายฉีดให้กับเด็ก จากนั้นในวันพุธที่ 6 ตุลาคม จะเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส และ 13 ตุลาคมเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส ทำให้มีวัคซีนรวม 5ล้านโดส เพียงพอกับการฉีดวัคซีนให้กับเด็กนีกเรียน เพื่อเป้าหมายการเปิดเรียนและใช้ชีวิตได้อย่างปกติ