ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ โพสต์ ทรูธ โซเชียล แพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ของตัวเอง เมื่อวาน (31 มีนาคม) ว่า กลุ่มฮูตีถูกทำลายย่อยยับจากการโจมตีของสหรัฐฯอย่างไม่ลดละตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สูญเสียนักรบและแกนนำจำนวนมาก สหรัฐฯถล่มฮูตีทุกวันทุกคืน และหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำลายขีดความสามารถในการคุกคามภูมิภาคและการเดินเรืออย่างรวดเร็ว แต่ทรัมป์ ระบุว่า การโจมตีเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ฮูตีมีทางเลือกที่ชัดเจน คือ หยุดโจมตีเรือสหรัฐฯ หรือสหรัฐฯจะเดินหน้าโจมตี จนกว่าฮูตีจะไม่เป็นภัยคุกคามเสรีภาพในการเดินเรืออีกต่อไป และเตือนว่า “ความเจ็บปวดอย่างแท้จริง” ทั้งต่อฮูตีและผู้สนับสนุนหลักอย่างอิหร่าน ยังมาไม่ถึง
หลังจากทรัมป์โพสต์ไม่นาน สื่อของกลุ่มกบฏฮูตี รายงานว่า กองทัพสหรัฐฯโจมตีสองระลอก ที่เกาะคามารัน นอกชายฝั่งเมืองท่าโฮเดย์ดา
หลายพื้นที่ในเยเมนที่อยู่ในความคุมของกลุ่มกบฏ ถูกโจมตีเกือบทุกวัน นับจากสหรัฐฯเริ่มใช้ปฏิบัติการทหารตอบโต้ เมื่อ 15 มีนาคม โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันฮูตีโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง เฉพาะการโจมตีวันแรกวันเดียว กระทรวงสาธารณสุขฮูตี ระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 53 ราย ขณะสหรัฐฯอ้างว่ากำจัดผู้นำอาวุโสของฮูตีไปหลายคน แต่กบฏฮูตีประกาศว่าจะโจมตีพุ่งเป้าเรือรบสหรัฐฯและอิสราเอลต่อไป
การโจมตีของกลุ่มฮูตี ทำให้เรือไม่สามารถแล่นผ่านคลองสุเอซ เส้นทางสำคัญที่ปกติแล้วใช้ขนส่งทางเรือประมาณ 12% ของปริมาณการขนส่งทางเรือทั้งหมดทั่วโลก การโจมตีอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทหลายแห่งต้องอ้อมไปทางแอฟริกา ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
คำขู่ของทรัมป์มีขึ้น หลังจากรัฐบาลเผชิญเรื่องอื้อฉาวที่ต่อมาเรียกกันว่า “ซิกนัลเกต” ( Signalgate) กรณีที่ทีมงานความมั่นคงของรัฐบาลทรัมป์ เผลอดึงบรรณาธิการนิตยสาร ดิ แอตแลนติก เข้ากลุ่มแอปแชต ซิกนัล ทำให้การสื่อสารเกี่ยวกับข่าวกรองและการโจมตีเยเมนที่ควรเป็นความลับ หรือมีความอ่อนไหวสูง รั่วถึงสื่อ และเปิดเผยต่อสาธารณะในที่สุด
ทรัมป์ปกป้องไมค์ วอลตซ์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นคนดึงนักข่าวเข้ากลุ่มแชต และ พีท เฮกเสธ รัฐมนตรีกลาโหม ที่แชร์ข้อมูลข่าวกรอง ว่า ไม่ได้ทำอะไรผิด และมองกรณีอื้อฉาวที่เกิดขึ้นว่า เป็นการล่าแม่มด และล่าสุด แคโรไลน์ เลวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว บอกเมื่อวานว่า กรณีนี้ปิดฉากลงแล้วที่ทำเนียบขาว มีการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเหตุการณ์เช่นนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก และเราจะเดินหน้ากันต่อไป ถ้อยแถลงของโฆษกทำเนียบขาว ตอกย้ำว่ารัฐบาลทรัมป์จะไม่ลงโทษใครทั้งสิ้น