CNA รายงานว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (อังคารที่ 8 เมย.) นายกรัฐมนตรีลอว์เรนส์ หว่อง ได้แถลงต่อรัฐสภาสิงคโปร์ถึงกรณีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้เกือบ 60 ประเทศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมาว่าโดยมีเนื้อหาว่าสิงคโปร์ตระหนักดีว่าระบบการค้าโลกมีปัญหาและจำเป็นที่จะต้องปฏิรูป ซึ่งสิงคโปร์และหลายๆประเทศก็ได้หารือกับ WTO ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สหรัฐกำลังทำไม่ใช่ “การปฏิรูป” แต่เป็นการปฏิเสธระบบการค้าเสรีที่สหรัฐเป็นผู้กำหนดขึันมาเอง
หว่องกล่าวว่าสิ่งที่สหรัฐกำลังวิตกคือการแข่งขันของจีน สหรัฐเองเป็นผู้ปล่อยให้จีนเข้ามามีบทบาทมากเกินไปใน WTO ซึ่งจีนเองนั้นก็มีวิธีปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมนัก ซึ่งรวมถึงการใช้วิธีให้เงินอุดหนุนผู้ประกอบการจีนเป็นจำนวนมาก ทั้งยังออกกฎเกณฑ์ควบคุมการเข้าถึงตลาดสหรัฐของผู้ประกอบการจีน อย่างไรก็ตามปัญหาเหล่านี้สหรัฐควรนำเข้าไปหารือและแก้ไขภายใต้กรอบของ WTO
แต่สิ่งที่สหรัฐเลือกทำคือการตั้งกำแพงภาษีกวาดไปเกือบทุกประเทศทั่วโลกอย่างน้อย 10 % บวกกับภาษีเพิ่มเติมกับหลายๆชาติที่สหรัฐมองว่าปฎิบัติต่อสหรัฐอย่างไม่เป็นธรรม โดยอ้างเหตุผลว่าเพื่อแก้ปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐ
ทั้งนี้ผู้นำสิงคโปร์มองว่าการขาดดุลการค้าไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิดตรงไหน การขาดดุลการค้าหมายถึงการที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันซื้อสินค้าจากประเทศอื่นๆ มากกว่าผู้บริโภคในประเทศอื่นๆซื้อสินค้าจากสหรัฐ อย่างไรก็ตามสหรัฐกำลังเลือกมองการค้าขายที่ “ตัวสินค้า” เพียงอย่างเดียว ซึ่งนั่นเป็นเพียงภาพบางส่วน ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด เพราะในความเป็นจริง สหรัฐได้เปรียบดุลการค้าด้าน “การให้บริการ” กับหลายๆประเทศ ซึ่งนั่นรวมถึงบริการด้านซอฟต์แวร์, การศึกษา, ความบันเทิง, การเงินและบริการด้านการเงินและธุรกิจ ซึ่งสหรัฐเป็นผู้ส่งออกไปทั่วโลก เรื่องนี้สหรัฐกลับมองข้ามและไม่พูดถึง
ขณะที่สิงคโปร์เองก็ไม่ได้เก็บภาษีสินค้าสหรัฐแต่อย่างใด โดยอัตราภาษีอยู่ที่ 0 % แต่สหรัฐยังเรียกเก็บสิงคโปร์ในอัตราภาษีพื้นฐาน 10% ซึ่งหากสหรัฐบอกว่าเป็นภาษีตอบโต้ สหรัฐก็ไม่ควรเรียกเก็บภาษีจากสิงคโปร์ นอกจากนี้สิงคโปร์ก็ขาดดุลการค้ากับสหรัฐ แต่สิงคโปร์ก็ยังยึดมั่นในระบบการค้าเสรีมาโดยตลอด
หว่องกล่าวต่อว่า สิงคโปร์รู้สึกผิดหวังอย่างมากต่อมาตรการของสหรัฐ เพราะสหรัฐและสิงคโปร์ถือเป็นพันธมิตรสนิทที่มีความสัมพันธ์หยั่งรากลึกมายาวนาน และนี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เพื่อนทำกับเพื่อน
มาตรการภาษีตอบโต้ซึ่งจีนโดนหนักที่สุด รวมๆแล้วมากกว่า 60 % ขณะที่อาเซียนโดน 10-49% จะเป็นตัวเร่งทำลายระบบเศรษฐกิจโลกที่เปราะบางอยู่แล้ว
ทั้งนี้หว่องประกาศในตอนท้ายว่าสิงคโปร์จะจัดตั้งทีมเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานสิงคโปร์ในการรับมือกับมาตรการภาษีของทรัมป์ ภายใต้การนำของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์
