“ดร.สามารถ” ชี้คำสั่งศาลปกครองสูงสุดถือเป็นที่สุด แนะกทม.เร่งจ่ายหนี้ค่าจ้าง BTS หยุดผลกระทบดอกเบี้ย – Top News รายงาน
จากการที่ประชุมสภากทม. ได้พิจารณารายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการวิสามัญศึกษาระบบขนส่งมวลชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยนายนภาพล จีระกุล สก.บางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ ได้รายงานสรุปในกรณีหนี้สินค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งกทม.โดยบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ค้างชำระอยู่ ตั้งแต่ปี 2562 ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ประชุมพิจารณาปัญหาดังกล่าว พร้อมเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลทุกด้าน รวมถึงพิจารณาสัญญา ระเบียบ กฎหมาย คำฟ้อง คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด และแนวคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง จนได้ข้อสรุปว่ามีความจำเป็นที่ผู้บริหารกทม.ควรเร่งชำระหนี้ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เพื่อลดภาระใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ต่อประเด็นดังกล่าว ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว ท็อปนิวส์ ถึงกรณีที่กรุงเทพมหานคร อ้างถึงขั้นตอนทางกฎหมาย ในการดำเนินการชำระหนี้ให้กับ บีทีเอสซี ว่า ในส่วนของภาระหนี้ที่เกิดขึ้นนั้น ทางกทม.ควรจะรีบจ่ายหนี้ให้แก่บีทีเอสซี เพื่อลดภาระลดเบี้ยกว่าวันละ 5.4 ล้านบาทที่กทม.จะต้องรับผิดชอบ และควรต้องเร่งจ่ายหนี้ทั้งในส่วนที่อยู่ระหว่างการยื่นฟ้องงวดที่ 2 หรือ ก้อนอื่นๆ เนื่องจากศาลปกครองสูงสุด ได้ตัดสินให้กทม.ชำระหนี้ให้แก่เอกชนแล้ว และ สัญญาได้ครอบคลุมหนี้ทั้งหมด ดังนั้น เมื่อศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสินเรียบร้อยแล้ว กทม. ก็ควรที่จะต้องชำระหนี้ให้หมดทุกก่อน
“ทั้งนี้หากจำนวนหนี้ที่เกิดขึ้นถึงที่สุดตามขั้นตอนศาลปกครอง ส่วนตัวเชื่อว่า กทม.คงไม่มีเงินที่ชำระให้แก่บริษัทเอกชน และต้องเลือกขยายระยะเวลาสัมปทาน(ส่วนไข่แดง) ให้กับบีทีเอสซีที่จะสิ้นสุดสัมปทานในปี 2572 ไปอีก 30 ปี เป็นสิ้นสุดสัมปทานในปี 2602 ดังนั้นทางเลือกของกทม.ขณะนี้จึงมี 2 แนวทางคือการเร่งจ่ายหนี้ให้เอกชน หรือ ขยายสัญญาสัมปทาน ซึ่งหากกทม.มีเงินเพียงพอก็ควรจะเร่งจ่าย เพื่อให้ปี 2572 สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวกลับมาเป็นของกทม. ทำให้กทม.สามารถบริหารจัดการค่าโดยสารในอัตราที่ต้องการได้”