รัฐบาลสิงคโปร์ แถลงวันนี้ (15 เมษายน)ว่า ประธานาธิบดี ธาร์มาน ชาน-มู-การัตนัม ประกาศยุบสภา ตามที่นายกรัฐมนตรีลอว์เรนซ์ หว่อง เสนอ และคณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ วันที่ 3 พฤษภาคม
ค่อนข้างแน่นอนว่า พรรคกิจประชาชน หรือ PAP จะครองเสียงข้างมาก กวาดที่นั่งส่วนใหญ่ในสภา เช่นเดียวกับการเลือกตั้งทุกครั้ง นับตั้งแต่ได้รับเอกราชในปี 2508 แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ PAP จะทำศึกเลือกตั้ง ภายใต้นายกรัฐมนตรีหว่อง ที่รับไม้ต่อจาก นายกรัฐมนตรีลี เซียง หลง บุตรชายของ ลี กวน ยู ผู้ก่อตั้งประเทศ เมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว
การเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในอีกไม่ถึง 20 วันข้างหน้า มีขึ้นท่ามกลางแนวโน้มทางเศรษฐกิจไม่สดใสนัก นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังคุกคามระเบียบการค้าโลก ที่เป็นกลไกขับเคลื่อนความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของสิงคโปร์ตลอดมา
ก่อนประกาศยุบสภา 1 วัน รัฐบาลสิงคโปร์ปรับลดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ เหลือ 0-2% จากเดิมคาดหมายว่าจะโต 1-3% แม้ว่าทรัมป์เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสิงคโปร์ในอัตราพื้นฐาน 10% แต่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นฮับการขนส่งทางเรือใหญ่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศอย่างมาก จึงเปราะบางกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวที่เกิดจากการเรียกเก็บภาษีประเทศต่าง ๆ ในอัตราสูงของรัฐบาลทรัมป์ ตลอดจนความวุ่นวายในระบบห่วงโซ่อุปทาน และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน
ยูจีน ตัน นักวิชาการมหาวิทยาลัย สิงคโปร์ แมนเนจเมนต์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีหว่อง วัย 52 ปี ต้องการอาณัติที่แข็งแกร่ง เพื่อที่รัฐบาลของเขา จะได้ขับเคลื่อนมาตรการและนโยบายปกป้องเศรษฐกิจ และเจรจากับประเทศต่าง ๆ ได้อย่างราบรื่น
PAP เป็นหนึ่งในพรรคการเมืองครองอำนาจยาวนานที่สุดในโลก เพราะเป็นรัฐบาลมาตั้งแต่ได้รับเอกราช 65 ปีที่แล้ว แต่ก็ถูกท้าทายมากขึ้นโดยเฉพาะจากคนหนุ่มสาว ที่พร้อมเปิดรับทางเลือกทางการเมืองใหม่ ๆ มุสตาฟา อิซซุดดิน นักวิเคราะห์การเมือง สถาบันยุทธศาสตร์โซลาร์ริส คาดว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ อาจเป็นศึกหนักที่สุดสำหรับพรรครัฐบาลก็เป็นไปได้ หากพิจารณาถึงบรรยากาศคาดเดาได้ยาก และฝ่ายค้านที่คุณภาพดีขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของ ยูจีน ตัน นักวิชาการมหาวิทยาลัย สิงคโปร์ แมนเนจเมนต์ ที่กล่าวเสริมว่า คนรุ่นมิลเลเนียมและเจนซี ตอบรับฝ่ายค้านที่มีความน่าเชื่อถือในสภามากขึ้น
การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2563 พรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน สร้างประวัติศาสตร์ ได้รับเลือก 10 ที่นั่งจากทั้งหมด 93 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นรวดเดียว 6 ที่นั่ง จากที่เคยครองอยู่เพียง 4 ที่นั่ง ถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้วสำหรับฝ่ายค้านสิงคโปร์ และมีความหวังว่า จะเป็นแรงส่งต่อมาถึงการเลือกตั้งหนนี้
ฮาพรีท ซิงห์ นักกฎหมายอาวุโสวัย 59 ปีดีกรีฮาร์วาร์ด ผู้สมัครความหวังของพรรคแรงงาน กล่าวว่า สิงคโปร์สามารถที่จะเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและดียิ่งกว่านี้ หากมีการเมืองแบบสมดุล สิงคโปร์จำเป็นต้องรีเซ็ตการปฏิบัติต่อนักวิจารณ์ ผู้คนที่มีแนวคิดแตกต่าง และคนนอกระบบด้วยความเคารพ ไม่ใช่ด้วยการตั้งแง่
การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 พฤษภาคม เป็นการชิงชัย 97 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นมา 4 ที่นั่ง จากการเลือกตั้งปี 2563 หลังมีการกำหนดเขตเลือกตั้งใหม่ ที่ฝ่ายค้านวิจารณ์ว่า เป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบไม่ยุติธรรม