วันที่6 ต.ค. 2564 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า การต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนในการเรียกร้องประชาธิปไตย แม้จะต่างยุคต่างสมัย แต่ก็ยังเป็นเรื่องเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอำนาจนอกเครือข่ายยังคงมีอิทธิพลเหนือระบบการเมือง และพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย จึงมีการต่อสู้เกิดขึ้น การสูญเสียในช่วงที่ผ่านมาและการรำลึก 45 ปี จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่คนกลุ่มใดกลุ่มนึง แต่หมายถึงสังคมไทยที่จะต้องหาข้อยุติร่วมกันให้ได้ ซึ่งหากยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องนี้การต่อสู้ก็ยังคงอยู่ และเมื่อเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้พลังของคนหนุ่มสาวและคนในอดีต จะเป็นพลังที่อำนาจรัฐเอาชนะไม่ได้ จึงอยากให้ฝ่ายรัฐยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพราะถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคม และหากการเปลี่ยนแปลงอยู่ในส่วนที่ถูกต้อง ก็จะนำไปสู่อนาคตและสังคมที่ดีกว่า แล้วก็จะทำให้คนที่มีความเห็นต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ส่วนการนัดชุมนุมในเดือนตุลาคม จะมีกิจกรรมของคนหนุ่มสาวกลุ่มอื่นๆหลายวัน ดังนั้นกลุ่มตนเองต้องชะลอกิจกรรม เพื่อให้การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวเป็นจุดศูนย์รวมของการขับเคลื่อน และมองว่าข้อจำกัดเรื่องของเชื้อไวรัสโควิด-19 คงเป็นอุปสรรคในการนัดชุมนุมทางการเมือง คาร์ม็อบจึงเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ที่สุดในความคิดของตนตอนนี้ ซึ่งภายในเดือนตุลาคมก็น่าจะมีการจัดคาร์ม็อบอีกครั้งช่วงปลายเดือน
ทั้งนี้ มั่นใจว่าหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง จะเห็นการชุมนุมขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะนัดโดยใครหรือจัดขึ้นโดยฝ่ายไหนก็ตาม และเมื่อถึงวันนั้นตนก็จะเข้าร่วม ไม่ว่าจะในฐานะเป็นแกนนำหรือผู้เข้าร่วม และเมื่อประเมินจากบรรยากาศทางการเมืองแล้ว คาดว่าการชุมนุมใหญ่จะเกิดขึ้นในปีนี้แน่นอน ส่วนที่ขณะนี้แกนนำหลายคนถูกจับกุมและยังไม่ได้รับการประกันตัว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการต่อสู้ เพราะคนที่ยังอยู่ก็ยังคงยืนยันอุดมการณ์เดิม และจะเป็นการสร้างพลังการต่อสู้ให้มากขึ้น
ส่วนกรณีที่แม้จะมีการนัดชุมนุมหลายครั้ง แต่รัฐบาลยังคงนิ่งเฉยไม่มีทีท่าว่าจะลาออกนั้น นายณัฐวุฒิ ยอมรับว่า การชุมนุมคงไม่ได้ส่งผลกดดันกับคนที่ไม่คิดจะรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน แต่การชุมนุมจะไปเกิดผลกับประชาชน จะทำให้ประชาชนทั่วไปในวงกว้างรับรู้ความจริง ดังนั้นแม้ผู้มีอำนาจจะไม่รับฟังแต่ประชาชนด้วยกันจะฟังกันเองและจะนำไปสู่ข้อสรุปทางการเมืองในที่สุด