วันที่ 6 ต.ค. – นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์เฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” ข้อความว่า “เปรียบเทียบประสิทธิภาพยาเม็ดฟาวิพิราเวียร์กับยาโมลนูพิราเวียร์” ยาฟาวิพิราเวียร์มีประสิทธิภาพช่วยให้อาการดีขึ้น ลดความรุนแรงของโรค ลดจำนวนไวรัสในร่างกาย ลดการใช้ออกซิเจนได้ แต่ช่วยได้น้อยไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ช่วยลดการเสียชีวิตในคนไข้โรคโควิด-19
นพ.มนูญกล่าวว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คิดค้นยาฟาวิพิราเวียร์ รวมทั้งหลายประเทศไม่รับรองให้ใช้ยาตัวนี้ในการรักษาโรคโควิด ด้วยเหตุผลให้ยากับไม่ให้ยา ผลการรักษาต่างกันน้อยมาก และยังได้ผลข้างเคียงจากยา ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์สามารถลดความเสี่ยงที่จะเข้านอนโรงพยาบาลได้ถึง 50% ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ไม่มีใครเสียชีวิตเลย ในขณะที่คนที่ได้รับยาหลอกกลับมีผู้เสียชีวิต 8 รายจากจำนวนทั้งหมด 775 ราย มีผลข้างเคียงไม่ต่างจากยาหลอก และยานี้กำลังจะได้รับรองให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา
นพ.มนูญกล่าวอีกว่า ในอนาคตอันใกล้เมื่อเรามีอาการสงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด รีบตรวจด้วยวิธี ATK ใช้ชุดตรวจเร็วด้วยตัวเอง เมื่อได้ผลบวก รีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจยืนยันด้วยการตรวจหารหัสพันธุกรรม RT-PCR ถ้ายืนยันบวกจริง ให้รีบรับประทานยาโมลนูพิราเวียร์ 4 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง โดยเริ่มกินที่บ้านต่อเนื่อง 5 วันทั้งหมด 40 แคปซูล ต้องรีบกินเร็วภายใน 5 วันที่มีอาการถึงจะได้ผลดี
นพ.มนูญกล่าวด้วยว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ยาโมลนูพิราเวียร์จะเข้าประเทศไทย แพทย์ไทยคงจะเลือกไม่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ ตนขอเสนอให้องค์การเภสัชกรรมหยุดผลิตและเลิกนำยาฟาวิพิราเวียร์เข้าจากต่างประเทศ มิฉะนั้นเราจะมียาฟาวิพิราเวียร์เหลือมากมาย เป็นการเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น ยาโมลนูพิราเวียร์ในอนาคตจะนำเข้าจากประเทศอินเดีย ราคาคงไม่แพง ตนเชื่อว่าอาจจะถูกกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ด้วยซ้ำ โดยสรุปคือ โมลนูพิราเวียร์ ยาต้านไวรัสตัวใหม่ชนิดเม็ด จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมในการรักษาโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต