ถอดรหัส ผู้ติดเชื้อยังหลักหมื่น “เปิดประเทศ”พร้อมหรือไม่?

ถอดรหัส ผู้ติดเชื้อยังหลักหมื่น “เปิดประเทศ”พร้อมหรือไม่?

หลังจากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงเตรียมเตรียมเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัวในวันที่ 1 พฤศจิกายน สำหรับผู้ฉีดวัคซีนครบโดสจากประเทศความเสี่ยงต่ำอย่างน้อย 10 ประเทศ และแสดงผลตรวจ RT-PCR เดินทางเข้าประเทศโดยทางอากาศ และดีเดย์เปิดให้มีการอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน รวมถึงการเปิดสถานบันเทิงในวันที่ 1 ธันวาคม และการเตรียมพร้อมสู่เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 หวังฟื้นเศรษฐกิจไทยจากการท่องเที่ยว

เมื่อเราดูตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล จากผู้ติดเชื้อสูงสุด 23,418 ราย เมื่อวันที่ 13 ส.ค.64 ซึ่งวันนั้นมีผู้ติดเชื้อใน 10 จังหวัดสูงสุดคือ 1 กรุงเทพมหานคร 5,140 ราย ,2 สมุทรปราการ 1,936 ราย ,3 สมุทรสาคร 1,847 ราย , 4 ชลบุรี 1,408 ราย , 5 นนทบุรี 731 ราย , 6 อุบลราชธานี 537 ราย , 7 นครปฐม 532 ราย , 8 บุรีรัมย์ 530 ราย , 9 สระบุรี 485 ราย , 10 พระนครศรีอยุธยา 484 ราย

ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อในวันนั้น ก็เป็นกลุ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มที่มีการแพร่ระบาดและติดเชื้อกระจายอย่างรวดเร็ว คือ กทม. และจังหวัดโดยรอบปริมณฑล นอกจากนั้นจะมีคลัสเตอร์แต่ละพื้นที่บ้าง แต่หลักๆของผู้ติดเชื้อคือส่วนกลาง

ขณะที่ตัวเลขการติดเชื้อในวันนี้ 13 ต.ค.64 พบว่ามีผู้ติดเชื้อ 10 จังหวัดสูงสุดคือ 1.กรุงเทพมหานคร 1,142 ราย , 2.ยะลา 650 ราย , 3.สงขลา 475 ราย , 4. สมุทรปราการ 453 ราย , 5.ชลบุรี 442 ราย , 6. ปัตตานี 423 ราย , 7.นราธิวาส 420 ราย , 8.ระยอง 326 ราย , 9. จันทบุรี 311 ราย และ 10.นครศรีธรรมราช 264 ราย
พบว่า กทม.ยังเป็นจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดสูงสุดแต่ยอดต่ำลงมาก ส่วนจังหวัดวงรอบ ปริมณฑล นนทบุรี ,ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม ยอดการติดเชื้อลดน้อยลง จะยังคงมีเพียงจ.สมุทรปราการ ที่เป็นแหล่งรวมของโรงงานอุตสาหกรรม ที่ยังคงพบคลัสเตอร์กลุ่มก้อนในโรงงานอยู่ แต่ที่น่าห่วงคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่กลับไปพุ่งสูงที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่าง ยะลา ปัตตานี นราธิวาส นครศรีธรรมราช ซึ่งยอดพุ่งกระโดดขึ้นมา ผลจากคลัสเตอร์ งานบุญประเพณี การแพร่เชื้อภายในครอบครัว

ส่วนจะส่งผลกับการแผนการเตรียมเปิดประเทศ 1 พ.ย. ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่นั้นก็คงไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลมาก เพราะถ้าหากเราพิจารณาแผนตามที่นายกฯกำหนดคือ ฉีดวัคซีนครบโดส ,มีผลตรวจโควิดแบบ RT-PCR และตรวจหาเชื้อเมื่อเดินทางถึงไทย และวันที่ 1 ธ.ค. จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้นพร้อมกับ การเปิดสถานบริการ สถานบันเทิง อนุญาตให้ดื่มแอลกอฮอล์ได้ด้วยนั้น จะทำให้เกิดการแพร่ระบาดเวฟ 5 หรือไม่

ภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จแรกที่ประเทศไทย ได้เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้ามาแบบ Sandbox เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ คาดหวังการใช้โมเดลนี้นำไปสู่การเปิดประเทศ โดยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กันยายน รายงานโครงการแผนภูเก็ต แซนด์บอกซ์ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2564 ว่า นับตั้งแต่เริ่มโครงการถึงปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้ว 36,875 คน
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมามากที่สุดอันดับหนึ่งคือ สหรัฐอเมริกา 5,678 คน ตามมาด้วยอิสราเอล 5,341 คน อังกฤษ 4,662 คน เยอรมนี 3,709 คน และฝรั่งเศส 3,578 คน ขณะที่คนไทยเดินทางเข้าประเทศตามโครงการนี้ 7,222 คน
ในส่วนของรายได้จากการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน มีจำนวน 1,634 ล้านบาท ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงิน 3,818 ล้านบาท นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจะมีการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,634 ล้านบาท ช่วยก่อให้เกิดเม็ดเงินที่หล่อเลี้ยงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตลอดจนมีผลช่วยกระจายประโยชน์ด้านเศรษฐกิจสู่ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การขนส่งโดยสาร เป็นต้น และธุรกิจอื่นที่เป็นห่วงโซ่อุปทานสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน เป็นต้น
ขณะที่ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ระบุว่า เห็นด้วยกับแผนการเปิดประเทศของนายกรัฐมนตรี เพราะอัตราการฉีดวัคซีนในไทยขณะนี้เข็ม 1 ฉีดครอบคลุมคนไทยได้เกินร้อยละ 50 แล้ว ส่วนเข็ม 2 ก็เกิน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด รวมทั้งผู้สูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว ซึ่งการฉีดวัคซีนที่มากพอ ช่วยลดความรุนแรงและลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้

แต่ย้ำว่า การจะเปิดประเทศได้ต้องดำเนิน 3 มาตรการควบคู่กัน คือ 1.มาตรการการฉีดวัคซีน แม้ขณะนี้จะฉีดได้จำนวนมากแล้ว ก็ยังต้องระดมฉีดโดยการจะทำให้มาตรการนี้สำเร็จคือ ต้องมีวัคซีนเพียงพอ ซึ่งไทยมีวัคซีนเพียงพอแล้ว โดยตั้งแต่เดือน ต.ค.เป็นต้นไปจะมีวัคซีนเข้ามาเดือนละ 20 ล้านโดส จึงต้องฉีดต่อเนื่องและคนต้องยอมให้ฉีดด้วย
2.มาตรการส่วนบุคคล ที่หย่อนยานไม่ได้ ต้องดำเนินการตามมาตรการเคร่งครัด และ 3. มาตรการด้านบริหารจัดการ และการปกครอง ต้องเข้มงวด ในกรณีที่มีมาตรการชัดเจน แต่ประชาชนไม่ปฏิบัติตาม แล้วเกิดการแพร่ระบาด

ทั้งนี้ หากเปิดประเทศแล้ว ก็คาดการณ์ว่า อาจมีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้ แต่เชื่อว่าจะไม่พบผู้เสียชีวิต ส่วนตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือ การหย่อนยานมาตรการนั้น นพ.ประสิทธ์ กล่าวว่า มีโอกาสเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง แต่ในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาก็ต้องควบคุม โดยควรตรวจหาเชื้อที่มากกว่า 1 ครั้ง ซึ่งจะช่วยทำให้เชื้อไม่หลุดลอดเข้ามาได้

นพ.ประสิทธิ์ ยังขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มงวด หากทำได้ก็เชื่อว่า จะได้ผลแต่ต้องทำอย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดแล้วไม่ทำ ซึ่งก็จะส่งผลทำให้การประเมินมาตรการต่าง ๆ ทำไม่ได้

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เมียไรเดอร์ เปิดใจเสียงสั่น กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังรู้ข่าว หนุ่มอินเดียซิ่งเก๋งได้ประกันตัว ลั่น ‘คนมีเงินมันยิ่งใหญ่’
นายกฯ เปิดงาน Thailand Reception เชิญชวนสัมผัสเสน่ห์อาหารไทย ชูศักยภาพเศรษฐกิจ
จีนแห่ ‘โคมไฟปลา’ แหวกว่ายส่องสว่างในอันฮุย
"พิพัฒน์" ตรวจเยี่ยมเอกชน ต้นแบบอุตสาหกรรม ผลิตด้วยเทคโนฯ AI พร้อมเร่งนโยบาย up skill ฝีมือแรงงานไทย
ผู้นำปานามาลั่นคลองปานามาไม่ใช่ของขวัญจากสหรัฐ
จีนไม่เห็นด้วยหลังไทยยืนยันไม่มีแผนส่งกลับอุยกูร์ในขณะนี้
"ดีเอสไอ" อนุมัติให้สืบสวนคดี "แตงโม" ปมมีการบิดเบือน บุคคลอื่น-จนท.รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่
"พิพัฒน์" นำถก "คบต." ลงมตินายจ้างต้องยื่นบัญชีชื่อต้องการแรงงานต่างด้าว ให้เสร็จใน 13 ก.พ.68
ส่องรายได้ "ดิว อริสรา" หลัง "ไผ่ ลิกค์" เฉลยชื่อดาราดัง ปมยืมเงินปล่อยกู้ โซเชียลจับตา รอเจ้าตัวชี้แจง
ศาลให้ประกันตัว "หนุ่มลูกครึ่งอินเดีย" ขับรถชนไรเดอร์เสียชีวิต ตีวงเงิน 6 แสนบาท คุมเข้มใส่กำไล EM ภรรยาผู้ตาย ลั่นไม่ให้อภัย

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น