วันที่ 14 ต.ค. – นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ได้เสวนาใน คลับเฮาส์ และยกมือไหว้ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า คนที่นายทักษิณควรยกมือไหว้นั้นก็คือ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะมวลชนคนเสื้อแดงที่พวกเขาเคยสนับสนุนนายทักษิณอย่างสุดหัวใจ แต่กลับพูดจาหลอกลวงและถีบหัวส่งในหลายๆโอกาส เช่น หลอกว่าเมื่อเสียงปืนแตกจะกลับมานำมวลชนคนเสื้อแดงออกมาต่อสู้ พอหมดประโยชน์ก็พูดจาทอดทิ้ง รวมทั้งเป็นบุคคลที่ถูกล้อเลียนว่า เป็นนักการเมืองที่สร้างสถิติประกาศวางมือทางการเมืองมากที่สุด แต่ก็ไม่เคยทำได้ เพราะถ้าวางมือจริง คงจะไม่มีชื่อ โทนี่ วู้ดซัม เป็นนามแฝงในคลับเฮาส์ ที่ออกมาพูดจารำพึงรำพันพร่ำพรรณาเพื่อรั้งสาวกและดึงคะแนนของคนรุ่นใหม่ ให้กับพรรคที่เป็นเครือข่ายในบงการของคนไม่กี่คนเท่านั้น
นายชัยชนะกล่าวว่า หากนายทักษิณต้องการยกมือไหว้จริงๆ แล้ว ตนขอแนะนำว่าควรยกมือไหว้ขอโทษประเทศไทยและคนไทยทุกคนสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมา และขอให้กลับมารับโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อผดุงไว้ซึ่งหลักการนิติรัฐนิติธรรม และเป็นการเคารพหลักการประชาธิปไตย อย่างที่นายทักษิณ พร่ำบอกอยู่เสมอๆ อีกด้วย
นายชัยชนะกล่าวอีกว่า กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่า ขอเวลาอีก 5 ปี ในการทำงานเพื่อสร้างประเทศนั้นก็ถือเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะประกาศ แต่คนที่ให้เวลาที่แท้จริงนั้นก็คือประชาชน ซึ่งนายทักษิณคงกลัวว่า หากประชาชนให้โอกาสตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศจริงๆ แล้ว พรรคพวกเครือข่ายของนายทักษิณอาจจะหมดความนิยมจนกระทั่งไม่สามารถกลับมาใช้อำนาจรัฐได้อีก ดังนั้นจึงพูดจาดักคอ และเล่นใหญ่โดยการยกมือไหว้ พร้อมกับพูดจาทวงบุญคุณเรื่องการมีส่วนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เติบโตในหน้าที่ราชการ ซึ่งมองว่าการกระทำในครั้งนี้ ก็เหมือนกับที่ผ่านมาคือ แสดงละครเพื่อให้คนไทยหันกลับมามอง ทั้งที่คนไทยส่วนใหญ่ได้ก้าวข้ามไปสู่โลกหลังยุคโควิดกันแล้ว
นายชัยชนะกล่าวต่อว่า การแสดงกิริยาแบบนี้ หากใครจำได้ก็เคยทำมาแล้วในช่วงที่นายทักษิณกลับมาในปี 2551 ที่ก้มกราบแผ่นดินและประกาศว่า ‘ขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีแผ่นดินไหนที่จะให้ความอบอุ่นแก่ผมและครอบครัวเท่ากับแผ่นดินไทย’ แต่กลับหนีการรายงานตัวของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และยังสร้างความเสียหายและความแตกแยกให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นตนเชื่อว่านายทักษิณคงหมดท่าที่จะเข็นพรรคการเมืองในเครือข่ายมาสู้กับความนิยมกับพรรคที่เป็นคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง จึงต้องออกโรงเองเพื่อรั้งสาวกไม่ให้หนีหายไปไหนก็เท่านั้น