ยังไม่ทันก้าวขาเข้าไปนั่งทำงาน ณ ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตั้งให้เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ถูก ส.ส.บางคนของพรรคพลังประชารัฐ ออกมาวิจารณ์รัวๆ โดยเฉพาะ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.หลักสี่ กทม. ซึ่งไม่รู้ว่านายพีระพันธุ์ไปทำอะไรให้นายสิระขัดหูขัดตาในเรื่องใดกันแน่ แต่จากการวิเคราะห์ของคอการเมือง คงน่าจะมาจากการที่นายพีระพันธุ์เปิดเผยแนวทางการทำงานในพรรคพลังประชารัฐ ประกอบกับมีกระแสข่าวว่านายพีระพันธุ์ จะถูกดันให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีสำรองของพรรค รองจากบิ๊กตู่ รวมถึงอาจแย่งโควต้ารัฐมนตรีจาก ส.ส.ในพรรค ทำให้นายสิระถึงกับดับเครื่องชนนายพีระพันธุ์ พร้อมเปรียบเปรยในลักษณะเหน็บแนมว่า “นายพีระพันธุ์เพิ่งเข้ามาใหม่ เปรียบเสมือนพระบวชใหม่ เวลานั่งก็ต้องตามพรรษาถึงจะถูกต้อง” อธิบายง่ายๆก็คือ นายพีระพันธุ์เพึ่งเป็นเด็กใหม่ของพรรค จะมาก้าวข้ามหัวคนอื่นๆในพรรคไปนั่งเก้าอี้สำคัญๆแบบนี้ไม่ได้
การที่นายสิระ เหน็บแนมนายพีระพันธุ์ว่าเป็น “พระบวชใหม่” นั้น ความจริงหากมองถึงการเข้ามาทำงานในพรรคพลังประชารัฐก็คงไม่ถูกซะทีเดียว เพราะนายพีระพันธุ์เอง ไม่ใช่พระบวชใหม่แบบที่นายสิระวิจารณ์ แต่ต้องบอกว่าฝีไม้ลายมือและการคร่ำหวอดในวงการการเมือง หากเปรียบเป็นเป็นพระ ก็ต้องบอกว่าเป็นพระที่แก่พรรษา ระดับชั้นเถระ จบเปรียญธรรม 9 ประโยค การที่นายพีระพันธุ์เข้ามาอยู่ในชายคาพรรคพลังประชารัฐ ก็เหมือนการย้ายที่จำวัดแค่นั้นเอง อีกทั้งหากย้อนไปดูชีวิตการเมืองและการทำงานให้กับบ้านเมือง ก็คงเห็นได้ชัดเจนว่า ระหว่างนายพีระพันธุ์ กับ นายสิระ ใครกันแน่ที่ควรจะถูกเรียกว่า “พระบวชใหม่”
นายสิระ เป็นนักธุรกิจขายบ้านทรงไทย เริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมือง เมื่อปี 2554 โดยลงสมัคร ส.ส.กทม. ในนามพรรครักษ์สันติ เขต 11 เขตหลักสี่ แต่สอบตก แพ้ให้กับนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ก่อนที่ปี 2557 ถูกแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปสช. ด้านสังคม ต่อมาในปี 2561 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และลงเลือกตั้ง ส.ส. เขตหลักสี่ ในปี 2562 สิระแก้มือได้สำเร็จ สามารถกลับมาพลิกชนะนายสุรชาติ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย
มาดูโปร์ไฟล์นายพีระพันธุ์กันบ้าง นายพีระพันธุ์ถือเป็นหนึ่งในมือกฎหมายคนสำคัญระดับประเทศ จบปริญญาโททางด้านกฎหมายอเมริกันทั่วไป และกฎหมายเปรียบเทียบจากมหาวิทยาลัยทูเลน สหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับมาสอบเข้าเป็นผู้พิพากษา จากนั้นได้ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง เป็น ส.ส.กทม. สมัยแรกตั้งแต่ปี 2539 และได้รับเลือกตั้งเรื่อยมาสลับกันทั้งระบบเขตและแบบปาตี้ลิสต์จนถึงปี 2554 นอกจากนี้ในปี 2551 ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ นายพีระพันธุ์ ได้รับการไว้วางใจให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขณะที่บทบาทการทำงานในสภาฯตลอดการทำหน้าที่ ส.ส. ได้เน้นไปที่การตรวจสอบทุจริต มีผลงานสำคัญคือ การสอบสวนการทุจริต “ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท” ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท
ในปี 2562 นายพีระพันธุ์ ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้พ้นจากการเป็นส.ส.ไปด้วย ซึ่งจากนั้นไม่กี่วัน นายพีระพันธุ์ ได้รับความไว้ใจจากพลเอกประยุทธ์ ดึงมานั่งที่ปรึกษา พร้อมมอบหมายให้นายพีระพันธุ์ เป็นหัวเรือใหญ่ในการแก้ปัญหาภายในการบินไทยที่ประสบปัญหาล้มละลาย รวมถึงเป็นหัวหน้าคณะทำงานต่อสู้มหากาพย์ “โฮปเวลล์” เพื่อไม่ให้ประเทศเสียค่าโง่ 2.5 หมื่นล้านบาท ส่วนงานการเมืองก็ถูกส่งไปนั่งคุมการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งแรก
ทั้งหมดเป็นเพียงประวัติบางส่วนของนายพีระพันธุ์ ที่ถูกนายสิระเหน็บแหนมว่าเป็นเพียง “พระบวชใหม่”
