‘หมอธีระวัฒน์’ย้ำข้อมูลเดิม 7 ข้อควรตระหนัก หลัง‘โควิด’ย้อนรอย

7 พฤษภาคม 2564 ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะ​แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก “ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha” เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ระบุว่า…

สิ่งดีๆของความตระหนก ซึ่งจะเป็นความตระหนักรู้และความเข้าใจในที่สุด

เผยแพร่ตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2563  ขณะนี้ 6 พฤษภาคม 2564 ย้อนรอยเดิม ปัดฝุ่นกันใหม่นะครับ และแน่นอน ฉีด วัคซีนด้วย

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

ในเรื่องของโคโรน่า 2019 ที่ปรากฏในสังคมขณะนี้เหมือนกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่ผิดเพี้ยนตั้งแต่การพยายามมองภาพให้ไม่เป็นไร หน้าร้อนไม่เป็นไรเพราะครั้งนั้น ไข้หวัด 2009 เกิดในหน้าร้อนและระบาดต่อรุนแรง

ความไม่เข้าใจในการเกิดโรค จนต้องหาเหตุว่าเมื่อเกิดอาการหนักหรือเสียชีวิตจะต้องมีโรคประจำตัวเสมอ และย้ำแต่เรื่องกลุ่มคนสูงอายุและต้องมีโรคประจำตัวซึ่งไม่ผิดแต่ไม่ถูก เพราะไข้หวัดใหญ่ 2009 และโคโรน่า 2019 อาการหนักในคนปกติได้ถึง 50 ถึง 60% ในรายงานแรกๆ ซึ่งเกิดจากการได้รับเชื้อหนาแน่น

 

ดังนั้นที่ต้องย้ำเตือนคือถ้าได้รับเชื้อในปริมาณสูงซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับคนติดเชื้อซึ่งสามารถแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะที่ในปอดมีปอดบวมหรือปอดอักเสบ และเพาะเชื้อไว้ในปริมาณมาก โดยที่การสัมผัสนั้นใกล้ชิดและอยู่ด้วยกันเนิ่นนาน

 

โดยที่แม้แต่คนปกติ ที่ทำงานขายของก็สามารถที่จะมีการติดได้ คนขับรถประจำทาง รถโดยสาร คนที่เข้าไปยังที่หนาแน่น และมีคนติดเชื้อและแพร่เชื้อได้ ก็ติดได้ และเมื่อได้รับเชื้อมา อาการก็มากตาม และเป็นที่มาที่กรมควบคุมโรคได้ให้คำแนะนำและปฏิบัติในการทำความสะอาด ของห้องผู้โดยสารและแม้กระทั่งห้องพักในโรงแรม เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา

 

อย่างไรก็ตามโคโรนา 2019 ดูจะมีลักษณะเฉพาะตัว เช่น

1-คนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการปกติโดยมีครั่นเนื้อครั่นตัวเท่านั้น น้ำมูกไหลไม่มากหรือไม่มีด้วยซ้ำ ไข้ไม่สูงได้บางคนไม่ถึง 37.5 ด้วยซ้ำ แต่แพร่เชื้อได้ โดยที่ตนเองไม่รู้ตัวว่าเจ็บป่วย

2-การตั้งเกณฑ์ในเรื่องระดับไข้ จึงเป็นเรื่องยากในการคัดผู้สงสัยว่าติดเชื้อ และเช่นเดียวกันเป็นการยากสำหรับคนทั่วไปที่จะสังเกตว่าตนเองติดเชื้อหรือไม่

3- คนที่ติดเชื้อและมีปอดบวมจนสามารถเห็นได้ชัดเจนจากเอกซเรย์มีจำนวนหนึ่งซึ่งมากพอสมควร กลับอาการไม่มากและใช้ชีวิตได้ตามปกติ

4- หน้ากากอนามัยถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มากในการกันการแพร่เชื้อโรคจากคนที่ใส่มากกว่าที่จะกันเชื้อที่จะเข้าหา อาจจะมีประโยชน์มากในกรณีโคโรน่า 2019 เนื่องจากไม่มีใครทราบว่าใครติดเชื้อใส่ไว้ทุกคนก็ไม่ผิดไม่อยู่ในกลุ่มคนหมู่มากเพื่อว่าตนเองอาจติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว

5-หน้ากากอนามัยในกรณี โควิด 2019 นี้ การใส่เพื่อป้องกันเชื้อจากภายนอก อาจจะเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อเข้าไปอยู่ในสถานที่คนพลุกพล่านพล่านแออัด เนื่องจากเป็นการแพร่ทางละอองฝอยของน้ำลายไม่ว่าจะเกิดจากการพูด การไอ โดยที่ละอองเหล่านี้ไปได้ไกล 2 เมตร ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าหน้ากากอนามัยไม่จำเป็นต้องใส่อาจจะไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้แล้วการใส่เพื่อเป็นการสกัดกั้นไม่ให้ละอองเหล่านี้เข้าใบหน้า จมูกปาก ที่ต้องไม่ลืมคือดวงตาเยื่อบุตา ที่ละอองเหล่านี้เข้าไปและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

ดังนั้นการใส่หน้ากากอนามัยของประชาชนในที่ชุมชนจะเปรียบเสมือนการที่หมอและพยาบาลใส่หน้ากากเมื่อดูคนไข้ที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ

ในส่วนของหน้ากากนั้นแม้จะใช้หน้ากากอนามัยสองชั้นที่ไม่มีชั้นกลางในการกรองเชื้อโรคหรือใช้หน้ากากผ้าหนาๆ ก็ยังพอใช้ได้เพื่อกันละอองเชื้อเข้าปะทะโดยตรง

 

6- การใช้หน้ากากอนามัยและแว่นตาครอบสามารถช่วยได้ระดับหนึ่งถ้าการใส่และการถอดนั้นไม่ไปสัมผัสกับผิวภายนอกที่มีเชื้อปะปนแล้ว และต้องประกอบไปด้วยมือที่ต้องทำการหมั่นล้างอยู่บ่อยๆ เมื่อสัมผัสกับพื้นผิวไม่ว่าอะไรก็ตามแม้กระทั่งลูกบิดประตู ราวจับในรถประจำทาง พื้นผิวเฟอร์นิเจอร์โต๊ะเก้าอี้ โดยใช้แอลกอฮอล์ 70% ไม่ต้องใช้ถึง 100% และถ้าดูสกปรกมากใช้น้ำและสบู่ไปเลย

สำหรับหน้ากากเอ็น 95 เป็นหน้ากากสำหรับแพทย์และพยาบาลที่ต้องดูคนไข้และมีความจำเป็นที่ต้องทำปฏิบัติดูดเสมหะหรือสิ่งคัดหลั่ง จนทำให้เกิดละอองฝอยขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน

ในคนปกติจะใส่เอ็น 95 ก็ไม่ผิดเมื่อดูภาวะอากาศแล้วพบว่ามีพีเอ็ม 2.5 หนาแน่น

 

7- การใช้ภาชนะ ในการกินอาหาร ช้อนกลาง ตะเกียบกลาง แก้วน้ำ ของตนเอง และกินอาหารสุกร้อนเป็นเรื่องสำคัญทั้งนี้เนื่องจากภาชนะเหล่านี้ปนเปื้อนด้วยน้ำลายที่อาจมีเชื้อได้

 

นับตั้งแต่มีการระบาดในประเทศจีนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 จนกระทั่งเดือนมกราคม 2020 ที่เริ่มมีผู้ป่วยในประเทศไทยที่เป็นชาวต่างประเทศจนกระทั่งถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2020 ที่มีการแพร่เชื้อกันเองในหมู่คนในประเทศ การรับรู้สภาพการความจริงในระยะแรกอาจวุ่นวายเหมือนกับเมื่อ 10 ปีที่แล้วไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่สภาพการปรับตัว และการเรียนรู้การป้องกันตัวน่าจะอยู่ในระดับน่าพอใจมาก และทางการก็มีการตระเตรียมพร้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้ากากให้ประชาชน อุปกรณ์การป้องกันตัวของแพทย์และพยาบาล และการให้ความรู้แก่ผู้ให้บริการสาธารณะ ซึ่งต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง

 

เป็นนิมิตหมายที่ดีที่สามารถเปลี่ยนความตระหนก เป็นความรู้ซึ่งนำมาสู่การป้องกันตัวได้อย่างถูกต้อง

ชีวิตต้องดำเนินไป จะมีการแพร่เชื้อโรคมากหรือน้อยไม่สำคัญในเมื่อมีการป้องกันตนอย่างเข้มแข็ง เช่นนี้

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น