จากกรณี โลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ภาพพระสงฆ์กราบไหว้อดีต “พระยันตระ” หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ อดีตพระภิกษุชื่อดังที่เคยเป็นข่าวฉาวเสพเมถุนเมื่อหลายปีก่อน หลังจากล่าสุดเดินทางกลับมายังประเทศไทยเพื่อฉลองวันเกิดครบ 70 ปี จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงทั่วโลกโซเชียลนั้น
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 23 ต.ค. แฟนเพจเฟซบุ๊ก ยันตระ แห่งสุญญตาราม ซึ่งเป็นเพจของลูกศิษย์ของอดีตพระยันตระ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีที่มีคนปล่อยภาพและคลิปดังกล่าวจนเกิดเป็นประเด็นดราม่า ว่า “หลวงปู่หรือพระอาจารย์ยันตระและคณะได้เดินทางออกจากเกพลิตาโพธิวิหาร จังหวัดสระแก้วแล้วเมื่อเวลา 07.00 น.
ในส่วนตัวผู้เขียนเองในฐานะผู้มีส่วนสำคัญในการทำให้ท่านกลับมาเมืองไทยครั้งนี้ รู้สึกปลื้มปีติยินดีและซาบซึ้งใจอย่างที่สุดที่ท่านมาเยี่ยมเยียนจังหวัดสระแก้ว ในส่วนที่เป็นผลกระทบจากข่าวที่ฮือฮาโด่งดังในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั้น ในส่วนตัวแล้วไม่ค่อยหนักใจอะไร เพราะเป็นบรรยากาศเสมือนญาติผู้ใหญ่ซึ่งเดินทางจากแดนไกล มาเยี่ยมเยียนนั่นเอง
เพียงอยากฝากมายังท่านที่ถ่ายคลิปแล้วหลุดออกไปสู่มวลชน จะเป็นความตั้งใจหรือไม่รู้เท่าถึงการณ์ก็ตาม แม้ภาพเหล่านั้นจะไม่ได้เกิดขึ้นที่เกลิตาโพธิวิหาร แต่บรรดาเหล่าศิษย์ต่างก็รู้กันดีว่าเหตุการณ์เหล่าเกิดขึ้นสถานที่ไหน ในช่วงที่พระอาจารย์ท่านยังอยู่ที่ปทุมธานีก่อนที่ท่านจะจากประเทศไทย จงหาโอกาสเอาพานธูปเทียนแพไปกราบขอขมาท่านพระอาจารย์และคณะสงฆ์เสียเร็วไว ถ้านิ่งเฉยหรือทำไม่รู้ไม่ชี้จะต้องพบกับความเสียใจ อาจนำความวิบัติใหญ่มาสู่ตัวเองครอบครัวหรือวงศ์ตระกูล เมื่อขอขมาแล้วจากหนักก็จะผ่อนเป็นเบา
การที่ทำอะไรแล้วนำความเดือดร้อนความเสียหายมาสู่ท่านพระอาจารย์ในลักษณะนี้ต่อไปพวกเราไม่สมควรให้เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว จงช่วยกันนำความสบายใจและแบ่งเบาภาระจากท่านให้ท่านได้สบายเสียทีในตอนแก่ เลิกคิดได้แล้วว่า “ท่านใจดี ไม่ว่าอะไรใคร ไม่เคยตำหนิ ฉันจะทำอะไรยังไงกับท่านก็ได้ ไม่เห็นจะผิดอะไร”
มนุษย์อย่างท่านพระอาจารย์นี้แหละที่บัณฑิตนักปราชญ์ท่านถือกันนักว่า “เป็นบุคคลที่คนทั่วไปต้องยกท่านไว้ในที่อันควร จะไปประมาทหรือทำอะไรอย่างมักง่ายต่อบุคคลประเภทนี้ไม่ได้เลย”
อย่างที่ท่านพูดกับนักข่าวว่า “อาตมาเป็นพระแท้ ไม่ใช่พระหลอก” ก็คือท่านพยายามจะบอกทุกคนว่าท่านคือพระแท้ที่เข้าถึงธรรม ที่ไม่ว่าจะแต่งกายหรืออยู่ในรูปแบบเช่นใด ก็ยังเป็นพระแท้อยู่เหมือนเดิม บุคคลที่เข้าถึงสุญญตา ย่อมใช้ชีวิตอย่างอิสระและเบิกบาน อยู่เหนือกฎเกณฑ์หรือรูปแบบตามสมมุติโลก”