แบงค์ชาติ ประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันสวมรอยธุรกรรมการเงิน

แบงค์ชาติ ประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันสวมรอยธุรกรรมการเงิน

ันที่ 24 ตุลาคม นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ติดตามความคืบหน้ากรณีมิจฉาชีพสวมรอยทำธุรกรรมการเงิน มีการตัดเงินผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคารจำนวน 10,700 ใบ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 130 ล้านบาท จากที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการยกระดับการป้องกันการทำธุรกิจกรรมการเงิน ผ่านช่องทางระบบออนไลน์และบัตรเครดิต รวมทั้งขอให้สถาบันการเงินช่วยดูแลประชาชนที่ได้รับความเสียหายด้วย ซึ่งได้รับรายงานว่า ธนาคารได้คืนเงินให้ลูกค้าบัตรเดบิตที่ได้รับความเสียหายครบทุกรายแล้ว ในส่วนของบัตรเครดิตได้ตั้งพัก เร่งตรวจสอบ และยกเลิกรายการ โดยจะดำเนินการตามขั้นตอนโดยเร็วที่สุดต่อไปด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยประสานกับสมาคมธนาคารไทย ยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนแล้ว ได้แก่ (1) ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้ครอบคลุมธุรกรรมที่มีจำนวนเงินต่ำและที่มีความถี่สูง (2) ติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ (3) แจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการตั้งแต่รายการแรก และ (4) ประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกันความเสี่ยง เช่น การปรับวงเงินในบัตรให้เหมาะสมกับการใช้จ่าย หลีกเลี่ยงการผูกบัตรกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่ไม่น่าไว้ใจ

นายธนกร กล่าวว่า นอกจากนี้ ธปท. และสมาคมธนาคารไทยจะผลักดันให้ผู้ให้บริการบัตรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการบังคับใช้การยืนยันตัวตนก่อนทำรายการชำระเงินกับบัตรเดบิตสำหรับทุกร้านค้าออนไลน์ โดยเฉพาะร้านค้าในต่างประเทศ เช่น การใช้เลข OTP ยืนยันตัวตนก่อนร้านค้าทำการตัดบัญชี รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้ป้องกันและตรวจจับภัยคุกคามทางการเงินในรูปแบบใหม่ ๆ ด้วย นายกรัฐมนตรีฝากเตือนประชาชนถึงภัยออนไลน์ โดยเฉพาะภัยจากธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ ๆ เนื่องจาก ปัจจุบันระบบการเงินของไทยมีการก้าวหน้ามาก รวมทั้งการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการ ทำให้การใช้จ่ายผ่านออนไลน์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ สะดวกรวดเร็ว เป็นโอกาสให้มิจฉาชีพสมัยใหม่ใช้ช่องทางบริการทางการเงินดิจิทัลทุจริต ลักทรัพย์ หรือลอกหลวง ให้ยืมเงิน ชักชวนเล่นการพนันหรือลงทุน จึงอยากให้ประชาชนศึกษา ทำความเข้าใจ เพิ่มความระมัดระวังการทำธุรกรรมออนไลน์ ไม่หลงกลหรือตกเป็นเหยื่อยการโฆษณา รวมทั้งต้องหมั่นตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินของตนเองอย่างสม่ำเสมอด้วย ขณะนี้ กระทรวง ดีอี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังติดตามผู้กระทำผิดรวมทั้งจะมีการขยายผลถึงเครือข่าย เพื่อนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากพบเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 เพื่อเร่งจับกุมผู้กระทำความผิด และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"พุทธิพงษ์" หนุน "บ้านเพื่อคนไทย" ชี้ควรทำอย่างโปร่งใส กระจายโอกาสถึงผู้มีรายได้น้อยให้ครบทุกภูมิภาค
"อดีตสว.สมชาย" เผย "ท็อปนิวส์" ละเอียดยิบ ขบวนการทุจริต "ฮั้วเลือกสว." ลั่น "ดีเอสไอ" ต้องรับเป็นคดีพิเศษ
"ไทย-กัมพูชา" บุกจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมืองปอยเปต พบคนไทยกว่า 100 คน เตรียมส่งกลับประเทศพรุ่งนี้
"จุฬาราชมนตรี" แถลงเตรียมจัดงาน "เมาลิดกลาง แห่งประเทศไทย" ครั้งที่ 59 เริ่ม 18- 20 เม.ย.นี้
จนท.รวบ "หนุ่มไทยเชื้อสายอินเดีย" หอบเงิน 15.7 ล้าน เข้าไทย อ้างเล่นพนันได้จากฝั่งปอยเปต
โผล่อีก “หมู่บ้านเขมร” จองแผ่นดินไทย อึ้ง! อุ้มลูกเดินยั้วเยี้ย ตร.เพิ่งจะจับ
งามไส้! “หนุ่มไทย” พกปืน-กระสุนใส่เต็มแม็ก คุ้มกัน “พม่าเถื่อน” เข้าเมือง
ผู้นำสหรัฐเรียกนายกฯแคนาดาว่า” ขี้แพ้”
เพจดังจับโป๊ะพรรคส้ม ขุดยับ “เท้ง-ไอซ์” นำทีมสส.ร่วมทริปกมธ. บินเกาหลีใต้ ใช้งบฯหลักล้านคาใจดูงานแน่เปล่า
มัสก์จี้ข้าราชการอเมริกันเขียนรายงานวันๆทำอะไรบ้าง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น