นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระและอดีตสมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยกับ Top News ถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งไม่ยุติความเป็นรัฐมนตรีและส.ส. ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ว่า ฝ่ายค้านหากจะให้ดีต้องไปคัดสำเนาคำพิพากษาของศาลนิวเซาท์เวลล์ ออสเตรเลีย มายื่นด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วทางกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาลต้องขอความร่วมมือในฐานะภาคีอนุสัญญาปราบยาเสพติดร่วมกัน เพื่อเอามาชี้แจงให้ชัดเจน แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ และในส่วนของการตรวจสอบ ของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วถือเป็นที่ยุติแม้ว่าส่วนตัวไม่เห็นด้วยในแง่กฎหมายแต่ก็แค่เป็นความเห็น ถือว่าคำวินิจฉัยของศาลเป็นผู้มีอำนาจใครจะวิจารณ์ในแง่เหตุผลก็วิจารณ์ไปแต่ไม่ควรก้าวล่วงหรือใส่ร้ายศาล
ทั้งนี้การที่พรรคก้าวไกลและกรรมาธิการป.ป.ช.สภาผู้แทนราษฎรจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือป.ป.ชตรวจสอบนั้น ในกรอบของป.ป.ช.จะพิจารณาในขณะที่บุคคลนั้นดำรงตำแหน่งอยู่ แต่เรื่องคดียาเสพติดของร.อ.ธรรมนัส เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 37 ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยซ้ำ หากไปร้องป.ป.ช.คงจะไม่รับเรื่อง การตรวจสอบจึงจะเหลือขั้นตอนสุดท้ายคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนแต่งตั้งร.อ.ธรรมนัสจะตรวจสอบ ในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเนื่องจากเรื่องนี้แม้กฎหมายไม่ได้เอาผิดแต่เป็นเรื่องความไว้วางใจจากประชาชน การอยู่ในตำแหน่งต้องอยู่ด้วยความไว้วางใจและความรับผิดชอบ เพราะการที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ตามกฎหมายแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่า จะสิ้นความรับผิดชอบเท่านั้น หากประชาชนไม่ไว้วางใจหรือครางแครงใจคนเป็นนายกฯก็ต้องทบทวนแล้วปรับคณะรัฐมนตรีออกไปหรือ ในส่วนพรรคพลังประชารัฐก็ตาม สามารถมีมติให้พ้นจากการเป็นส.ส.ได้ “อย่าทำเป็นเฉย” แม้ศาลรัฐธรรมนูญหรือ ป.ป.ช.ไม่ว่าอะไร รัฐบาลไม่สนใจแบบนี้ ไม่ได้
นายแก้วสรร ระบุว่า เรื่องค้ายาเสพติดไทยเรามีอนุสัญญาป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดซึ่ง แม้ว่าเรื่องการค้ายาเสพติดในทางอาญา ถ้าจะเกิดในต่างประเทศ ศาลไทยไม่มีอำนาจก็ตาม แต่ตามระเบียบสำนักนายกฯ ที่ว่าหากข้าราชการมีเรื่องยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้สอบสวนและจัดการตามอำนาจหน้าที่ หากนายกฯ จะเด็ดขาดเอาจริงต้องจัดการเพราะเรื่องนี้คือเป็นเรื่องความรับผิดชอบจิตสำนึกและพันธกรณีที่ขณะนี้ถูกโยงไปทั่วโลก ล้อเลียนว่า ไทยมีรัฐมนตรีค้ายามาดำรงตำแหน่ง พูดตรงๆคือกฎหมายสะท้อนแค่บางส่วนในเรื่องความถูกผิด สะท้อนถึงคุณสมบัติ นายกฯไม่ต้องดูแค่ข้อกฎหมายหรือคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ให้ยึดความรับผิดชอบ เอาความถูกผิดและเอายางอายเป็นที่ตั้ง นายกควรมีรัฐบาลที่ประชาชนยอมรับได้
ทั้งนี้ นายแก้วสรร ยังกล่าวด้วยว่า ฝ่ายค้านเอง ก็มีความไม่น่าเชื่อถือไม่น่าเคารพหลายอย่าง ซึ่งร.อ.ธรรมนัสเอง ก็เคยเป็นส.ส.กับพรรคไทยรักไทยมาแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่มองว่าอยู่ฝ่ายไหนพรรคไหนก็ช่าง ส่วนตัวคิดว่าไม่มีใครมีสิทธิ์โดยธรรมชาติ จะเอาใครไปติดคุกโดยที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ได้ทำก็ไม่ได้ ต้องใช้กฎหมายโดยระมัดระวังจะริดรอนสิทธิ์ก็ต้องใช้กฎหมายแต่ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งส่วนรวม ไม่ใช่สิทธิ์มาสวมตำแหน่งนี้แต่เป็นความไว้วางใจและความไว้วางใจไม่ได้มีแค่ในกฎหมาย และประชาชนก็ไม่ได้ดูแค่กฎหมายแต่ดูทั้งความไว้วางใจด้วย
ในฐานะนักกฎหมายนายแก้วสรร กล่าวถึงนายกฯ ว่า “เลิกบ้ากฎหมายกันเสียทีเอาจิตสำนึกและสมองความรับผิดชอบของตัวเองในตำแหน่งมาก่อน”
ทั้งนี้หากหลังจากมีข้อท้วงติงจากประชาชนและหลายฝ่ายให้นายกฯตรวจสอบและจัดการร.อ.ธรรมนัส หากพลเอกประยุทธ์ เพิกเฉยไม่ทำอะไรนายแก้วสรร กล่าวว่า ต้องบอกตามตรงว่ารัฐบาลนี้หนักกว่ารัฐบาลชุดอื่นเพราะร่างกฎหมายเองแล้วขึ้นมานั่งเอง เหมือนสมัยพลเอกสุจินดา คราประยูร ที่ร่างรัฐธรรมนูญเองแล้วขึ้นมาบริหารเองเป็นการมาสืบทอดอำนาจ มาถึงพลเอกประยุทธ์ เหมือนประชาชนยังไม่มีทางไปเพราะมีสถานการณ์ที่ล่อแหลมวิกฤตโควิดก็ทำให้รัฐบาลชุดนี้มีปมด้อยคือความชอบธรรมน้อยก็ต้องอาศัยการทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เมื่อเปรียบเทียบกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ก็ไม่ได้มาจากส.ส.ทั้งหมด แต่ป๋าเปรมใช้คนตามคุณค่า ตามฝีมือ คัดคน เลือกคน ไม่ให้คนเลวมาเกาะกิน จึงได้เป็นถึงรัฐบุรุษ แต่พลเอกประยุทธ์จะกลายเป็นจำอวดหน้าม่านมาขัดเวลาที่จะเป็นรัฐบุรุษ สิ่งสำคัญต้องไม่ให้คนเลวมาเกาะกิน ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้เอาความถูกต้องมาก่อน อย่าเฉยต่อเรื่องไม่ถูกต้อง เช่นกรณีบอส อยู่วิทยา เรื่องปล่อยให้รัฐมนตรีไปเที่ยวเล้าจ์แล้วในช่วงสถานการณ์โควิด รวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจเละเทะมาเป็น 10 ปีทำให้ตำรวจหย่อนต่อหน้าที่ทำให้เกิดบ่อนระยอง บ่อนตะวันออกทำให้เกิดที่มาของโควิคระบาดเกิดแรงงานเถื่อนทั้งหมดนี้มาจากระบบกระบวนการยุติธรรมไม่อยู่ในร่องในรอยหากเรื่องนี้มาเพิกเฉยอีก บนความชอบธรรมที่ไม่เต็มเปี่ยม มองว่า “พลเอกประยุทธ์ จะอยู่ยาก” หากมีความไม่ชอบธรรมมาก ๆ ประชาชนโห่มาก ๆรัฐบาลก็จะต้องแตกผู้ที่มาร่วมพรรคร่วมเองก็จะอยู่ไม่ได้ จึงต้องอ่อนไหวต่อความชอบธรรมเป็นพิเศษ
ทั้งนี้นายแก้วสรร ย้ำทิ้งท้ายว่า
“ขอให้ทุกฝ่ายอย่ามองเป็นเรื่องการเมือง หรือขอให้ก้าวข้ามสีเสื้อ แต่เป็นเรื่องของความถูกผิด
แม้ว่าสมัยไทยรักไทยสมัยนายทักษิณชินวัตรเป็นนายกยอมรับว่า(เหี้ย) ทำไม่ดีคอรัปชั่นเยอะเล่นพวกเล่นพ้องถ้าสมัยธรรมนัสอยู่ไทยรักไทยก็คงไม่ถูกเอาเรื่อง แต่คน(เหี้ย)ก็ทำถูกได้ ให้ไปดูในสิ่งที่เขาทำถ้าทำถูกก็โอเค ส่วนตัวหากเขาทำเลวก็เป็นเรื่องของเขา แต่ถ้าเขาทำดีทำถูกเราก็ชม แต่ถ้าเขามีมลทินมัวหมองเป็นที่ประจักษ์เขาก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องอยู่กันด้วยความถูกต้อง อย่าไปแบ่งสีแบ่งอะไรกันมาก ตามพระราชดำรัสของในหลวงว่าเราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรมพวกเราก็ต้องอยู่ในประเทศไทยโดยทำอะไรถูกต้องก็ยืนร่วมกัน อย่ามัวแต่แบ่งสีแบ่งเหล่า บางพวกก็บอกว่าไทยรักไทยชั่วและอีกพวกก็บอกว่าประยุทธ์เฉย ช่วยโอกาสแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไม่ได้จึงต้องเลือกทางระหว่าง ชั่ว กับ เฉย ประชาชนยังจะยอมอยู่หรือไม่ ลุกขึ้นยืนในทางที่ถูก ที่ผิด ครั้งหน้าจะมืดมนอย่างไรก็เดินไป ต้องสู้กันกับปัญหา สลัดความอัศวกิเลส ความเกรงต่อปัญหาที่ไม่ถูกต้องออกไป ยึดเอาความถูกต้องเอาบ้านเมืองเป็นหลักก็จะสามารถเห็นทางออกเห็นปัญหาได้”
