อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านไซเบอร์ของสหรัฐกล่าวว่าเขาเชื่อว่ากลุ่ม “ดาร์คไซด์” (Darkside) ซึ่งเป็นกลุ่มอาชญากรของรัสเซียอยู่เบื้องหลังการใช้มัลแวร์เรียกค่าไถ่โจมตีระบบขนส่งน้ำมันของบริษัทโคโลเนียล ไพพ์ไลน์ (Colonial Pipeline) ทำให้การขนส่งเชื้อเพลิงปริมาณ 100 ล้านแกลลอนต่อวันจากรัฐเท็กซัสไปยังนิวยอร์ค เพื่อกระจายไปยังรัฐต่างๆทั่วชายฝั่งตะวันออกต้องเป็นอัมพาต เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
Colonial Pipeline ได้สั่งระงับการส่งน้ำมันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหลังรู้ตัวว่าถูกโจมตีด้วยระบบแรมซัมแวร์ โดยสั่งปิดท่อส่งน้ำมันหลัก แต่ยังปล่อยให้ท่อขนาดเล็กขนส่งน้ำมันได้ต่อ ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะแก้ไขและรีสตาร์ทระบบไอทีของบริษัท และได้แก้ปัญหาด้วยการใช้รถบรรทุกน้ำมันเร่งขนส่งน้ำมันแทน พร้อมกับขยายเวลาการขนส่งน้ำมันเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนเชื้อเพลิงในรัฐตะวันออก
ด้านประธานาธิบดีโจ ไบเด้นได้ประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกและหลายรัฐทางใต้ติดอ่าวเม็กซิโก รวมทั้งระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกระทรวงพลังงาน, เอฟบีไอ และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิประชุมหารือเพื่อหาทางแก้ไขและรับมือเพื่อลดผลกระทบจากการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่ง Colonial Pipeline บอกว่าจะเปิดระบบคอมพิวเตอร์ของตนต่อเมื่อสามารถแก้ไขและมั่นใจว่าปลอดภัยแล้วเท่านั้นภายใต้คำสั่งของรัฐบาลกลาง
Colonial Pipeline เป็นระบบขนส่งท่อน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐจอร์เจีย ขนส่งทั้งน้ำมันแก้สโซลีน, น้ำมันดีเซล, เชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินและเชื้อเพลิงอื่นๆ