เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ผศ.พิมพ์ณัฐชยา สัจจาศิลป์ โฆษกพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เล่าถึงประวัติศาสตร์ไทย รัชกาลที่ 5 ต่อสู้การล่าอาณานิคมจากฝรั่งเศส และถามคณะก้าวหน้าจะแก้กฎหมายอาญา ม.112 เหลือจำคุก 1 ปี คือรอลงอาญา ความมั่นคงของประเทศที่มีสถาบันชาติ พระมหากษัตริย์ อยู่ตรงไหน? โดยระบุตอนหนึ่งว่า “ให้พึงนึกในใจไว้ว่าเราไม่ได้มาเรียนจะเป็นฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะเป็นคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง รัชกาลที่ 5 กษัตริย์ไทยต่อสู้การล่าอาณานิคมจากฝรั่งเศส เกิดปี พ.ศ.2522 ในวันสวรรคตพระปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2453 ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ไทย สนใจแต่ฝรั่งเศส ไม่สนใจไทย จะเล่าให้ฟังว่าไทยเราถูกล่าอาณานิคมอย่างไร รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรก ในปี พ.ศ.2440 (คศ.1897) สถานภาพของสยามเริ่มเป็นที่ยอมรับของผู้นำยุโรป ทรงจัดตั้งโรงเรียนสอนกฎหมายแห่งแรกของไทยโดย กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (พระโอรสรัชกาลที่ 5) เพื่อให้นักเรียน ป.ตรี เรียนบนพื้นดินวังหน้าท่าพระจันทร์ รัชกาลที่ 5 ทรงต่อสู้กับการล่าอาณานิคมจากสาธารณะรัฐฝรั่งเศสใน ร.ศ. 112 สิ้นสุดลงด้วยการลงนามในหนังสือสัญญาวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 สงครามฝรั่งเศส-สยาม ผลของสัญญาสงบศึก พอสังเขป 1.สยามชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝรั่งเศส 3 ล้านฟรังก์ 2.สยามต้องเสียอธิปไตยบริเวณแม่น้ำโขง พื้นที่ประมาณ 143,000 ตารางกิโลเมตร 3. ฝรั่งเศสได้ยึดเมืองจันทบุรีไว้ในอารักขานานกว่าสิบปี (ระหว่างปี 2436-2447) จนกว่าสยามจะชดใช้ค่าเสียหายครบ”
ผศ.พิมพ์ณัฐชยา ระบุต่อว่า “รัชกาลที่ 5 ทรงทำอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 (พ.ศ.2477) ในการรักษาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และการให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากจันทบุรี อันเป็นหอกข้างแคร่ของฝ่ายไทยตั้งแต่อนุสัญญาฉบับ ร.ศ. 112 พ่อของรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 4 ต่อสู้การล่าอาณานิคมจากฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบชื่อ “มิตราย” เข้ามาข่มขู่ในน่านน้ำเจ้าพระยา จนทำให้เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2408 (ค.ศ. 1865) เขมรและสยามขาดกันโดยเด็ดขาด คือ1. พระเจ้าแผ่นดินไทยยอมรับว่าเขมรตกเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส 2. สัญญาลับระหว่างสยามกับเขมรเป็นโมฆะ 3. อาณาจักรเขมรเป็นอิสระ อยู่ระหว่างดินแดนในครอบครองของฝรั่งเศสและสยาม4. เขตแดน “เมืองบัตบอง นครเสียมราบ” และเมืองลาวของสยาม ซึ่งติดต่อเขตแดนเขมร ฝรั่งเศสยอมรับให้คงอยู่กับสยามต่อไป พระเจ้าตาก และรัชกาลที่ 1 ปู่ทวดรัชกาลที่ 10 ทรงปกครองเขมรเป็นของสยาม สุดท้ายฝรั่งเศสแย่งชิงไป”
ผศ.พิมพ์ณัฐชยา ระบุอีกว่า “111 ปีผ่านไป ไฉนจึงเกลียดชังสถาบัน ใส่ร้ายว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนไทยเคารพเพราะท่านสร้างแผ่นดินนี้ให้ลูกหลานไทย ใส่ร้ายว่าการปกครองไทยเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะมาตรา 112 ยั่วยุให้คนไทยด้วยกัน เผาบ้านเมืองเรากันเอง พ.ศ. 2475 คณะราษฏร์ยึดอำนาจจาก รัชกาลที่ 7 เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขรัฐธรรมนูญ ผ่านไป 89 ปี รวม 20 ฉบับ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผลักให้เป็นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ พ.ศ.2523 รัฐบาลพลเอกเปรม ก็ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หลังจากนั้นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และมวลชนที่เข้าป่าไปจับปืนต่อสู้ทยอยเดินทางออกจากป่าในฐานะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการยึดครองของลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นการฉีกทฤษฎีโดมิโนทิ้งไปอย่างถาวร 111 ปีผ่านไป ปมแค้นฝังใจ เกลียดชังสถาบัน ใส่ร้ายว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พ.ศ. 2564 ยังใส่ร้ายว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพราะมาตรา 112 เรามีรัฐธรรมนูญ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย มาตรา 50 สิทธิ เสรีภาพ ภราดรภาพ กระบวนการมีส่วนรวม ตามรัฐธรรมนูญไทย 2560 ก้าวหน้าจะแก้กฎหมายอาญา ม.112 เหลือจำคุก 1 ปี คือ รอลงอาญา ความมั่นคงของประเทศ ที่มีสถาบันชาติ พระมหากษัตริย์ อยู่ตรงไหน? เรียกค่าเสียหายหมิ่นประมาทที่อ้างนิติปกครอง หมิ่นประมาทกษัตริย์ ปรับ 3 แสน แต่หมิ่นประมาทประชาชน มาตรา 326 และ 328 จาก 20,000 และ 200,000 บาท เป็นละเมิด มาตรา 420 เป็นเงินถึง 24,062,475 บาท เรียกค่าสินไหมทดแทนหลักยี่สิบล้าน บทพิสูจน์ ทิ้งเยาวชน ทิ้งประชาชน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้มันจบที่รุ่นเรา #อาจารย์ตา #รักในหลวง #ปกป้องชาติศาสน์กษัตริย์ #ไทยภักดี #ภักดีประชาศรัทธาสถาบัน #การมีส่วนร่วม”