วันที่ 7 พฤศจิกายน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ว่า ตนขอย้ำว่าโครงการดังกล่าวขณะนี้ผ่าน ครม.แล้ว และโอนเงินส่วนต่างงวดแรกให้ในวันที่ 9 พ.ย.ที่จะถึงนี้โดยตนกำชับกรมการค้าภายในและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.ก.ส.โอนเงินส่วนต่างทันที วันที่ 9 พ.ย.จากนั้นจะเป็นงวดทุกสัปดาห์ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวรายใดแจ้งแล้วว่าจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลานี้ จะโอนวันที่ 9 พ.ย. ถัดไปจะเป็นไปตามที่ได้แจ้งไว้ว่าจะเก็บเกี่ยวเมื่อไหร่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นปัญหาข้าว ฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาที่ค้างอยู่ในสต๊อก เพราะปริมาณความต้องการบริโภคลดลง ส่วนหนึ่งอาจมาจากนักท่องเที่ยวที่ขาดหายไปด้วย เพราะนักท่องเที่ยวประมาณ 10% ที่มาบริโภคข้าวในประเทศไทย ทำให้ปริมาณความต้องการบริโภคข้าวในประเทศลดลง กระทรวงพาณิชย์แก้ปัญหาด้วยการพยายามเร่งรัดการส่งออกแต่ช่วงที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรคตอนต้นปี ค่าเงินบาทแข็งมาก ทำให้ข้าวแข่งขันในตลาดโลกไม่ได้เพราะผู้ซื้อรู้สึกว่าแพงมาก
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสดีเพราะ 3-4 เดือนที่ผ่านมาเงินบาทเริ่มอ่อนตัว ทำให้เราสามารถแข่งในตลาดโลกได้ ตัวเลขการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีส่วนช่วยระบายข้าวออกไปมากขึ้น ช่วยดึงราคาข้าวให้สูงขึ้นได้ ประกอบกับ ครม.ให้ความเห็นชอบสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กลุ่มเกษตรกร โรงสีเก็บสต๊อกข้าวไว้ไม่ปล่อยออกสู่ตลาดและจ่ายเงินชดเชยให้ในการเก็บข้าวเข้าสต๊อกสำหรับเกษตรกร สหกรณ์ ตันละ 1,500 บาท สำหรับโรงสีช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 และกระทรวงพาณิชย์ก็จะเปิดจุดรับซื้อโดยให้ทีมเซลล์แมนจังหวัดเป็นผู้พิจารณาว่าจะไปเติมจุดรับซื้อที่บริเวณไหนบ้าง ช่วยซื้อในราคานำตลาด เช่น เพิ่มตันละ 100 ถึง 200 บาท ตามกรณีที่เหมาะสมซึ่งเริ่มแล้ว ในพื้นที่ที่ต้องไปเติมจุดรับซื้อเส้นบางจุดมีโรงสีเพียง 2 โรง ซึ่งจุดรับซื้อจะเป็นการทำงานร่วมกันเปิดจุดรับซื้อเพิ่ม ซื้อในราคาแพงกว่าตลาดเพื่อชี้นำราคาตลาด
โดยความชื้นคิดที่ 15% ซึ่งขณะนี้หลายคนออกมาพูด เรื่องราคาข้าวโดยเอาราคาข้าวเปียกเกี่ยวแล้วมาขายเลย ราคาก็จะเป็นไปตามสัดส่วน แต่เมื่อเทียบเป็นมาตรฐานก็จะราคาถึง 7,000 กว่าบาทต่อตัน สำหรับราคาปาล์มที่สูงขึ้นในวันนี้ไม่ได้สูงด้วยความบังเอิญ เราประกันรายได้ปาล์มกิโลกรัมละ 4 บาท แต่วันนี้ปาล์มแตะ 9-10 บาทแล้ว ซึ่งราคาปาล์มที่ดีขึ้นด้วยเหตุผล 3 ข้อ จากการบริหารจัดการ
1.ส่งเสริมให้เอาน้ำมันปาล์มไปผสมดีเซลทำเป็น B5 B7 B20 เป็นต้น 2.กระทรวงพาณิชย์ออกประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันปาล์มจากประเทศเพื่อนบ้านทางบกเพราะการนำเข้าทางบวกก่อให้เกิดการลักลอบนำเข้าและน้ำมันปาล์มจากประเทศเพื่อนบ้านไหลมารวมกันอยู่ในประเทศไทยทำให้กดราคาปาล์มในประเทศ
3.การเร่งรัดการส่งออก ประสบความสำเร็จมากในการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มอินเดียทำให้ปี 63สามารถส่งออกน้ำมันปาล์มไปอินเดียได้ 2,600 ล้านบาท แต่ 9 เดือนแรกปีนี้ส่งออกไปแล้ว 14,000 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นมากจากการเปิดตลาด เป็นบวกถึง 438% และหากราคาตกก็ยังมีส่วนต่างจากโครงการประกันรายได้เข้ามาช่วยเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ซึ่งขณะนี้พอใจและดีใจที่เราเข้าไปช่วยทำให้ราคาดีขึ้น