นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้อำนายการหลักสูตรนิติศาสตร์มหาบัณทิต มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการบรรยายพิเศษ ให้กับนักศึกษาหลักสูตรการพัฒนาการเมือง และการเลือกตั้งระดับสูงรุ่นที่ 12 ในหัวข้อธรรมาภิบาลกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปด้านการเมือง
ทั้งนี้ในช่วงท้าย ของการบรรยาย มีนักศึกษา ถามถึงความเห็นต่อคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการล้มล้างการปกครอง นายจรัญ ได้กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลดังกล่าวเชื่อว่า ต้องการจะออกมาเตือน ป้องปรามว่าการกระทำของกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่มีขอบเขตผิดกฎหมายและมีความผิดระดับร้ายแรงเพราะหากถือตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ถือว่าร้ายแรงมากจึงเหมือนอยากจะให้ถอยกันให้หมด
นายจรัญ กล่าวว่า คำวินิจฉัยก็ชัดเจนว่ามีผลเฉพาะคนที่ทำผิดคือผู้ถูกร้องทั้ง3คนเท่านั้นไม่มีผลผูกพันคนอื่น แต่ยอมรับว่าอาจจะมีคนตกใจโดยเฉพาะกลุ่มเครือข่ายที่เคยสนับสนุน เพราะที่ผ่านมาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร แต่ครั้งนี้คำวินิจฉัยถูกแยกออกเป็นสองส่วนคือคำวินิจฉัยที่เป็นประเด็นโดยตรง(มีผลผูกพันกับทุกองค์กร)และคำวินิจฉัย ที่การนำประเด็นต่างๆมาขยายเหตุผลว่าศาลได้ผ่านกระบวนการความคิดประมวลมาต่างๆจึงนำมาแสดงเหมือนชักแม่น้ำทั้ง5 มาให้ประชาชนได้ทราบ เพราะศาลยึดหลักมาโดยตลอดว่า ศาลจะไม่ชี้แจงหลังการพิจารณา ดังนั้นเหตุผลที่เป็นองค์ประกอบจึงไม่มีผลผูกพัน
นายจรัญ กล่าวว่า ก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะอ่านคำวินิจฉัย มีสื่อมวลชนมาสัมภาษณ์ เกี่ยวกับประเด็นการเสนอแก้ ม.112 ซึ่งตนไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกและแก้ไข และบังเอิญว่าสอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับศาลรัฐธรรมนูญ
“ยอมรับว่า ถูกขู่ เช่นกัน แต่ขอบอกเลยว่าไม่มีใครเค้ากลัวคำขู่หรอกครับ คนทำงานมาถึงขนาดนี้ พร้อมที่จะตายได้ทุกวัน เพราะตอนนี้ อยู่ก็ถือเป็นกำไร แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือของจริง ไม่ใช่คำขู่ ผมขอวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ว่า ต้องการปรามเพราะไม่ต้องการให้ลุกลาม ไปมากกว่านี้ เพราะถ้าคุณไม่พอใจรัฐบาล คุณก็โค่นล้มรัฐบาลไป ไม่ควรต้องมาเกี่ยวข้องกับประมุขของชาติ ดังนั้น ขออย่าตกใจ และขอให้มั่นใจว่า คนในวงการตุลาการจะไม่บ้าจี้ ใก้เกิดความรุนแรงทางใดทางหนึ่ง และมั่นใจว่าเมื่อคำตัดสินออกมาแบบนี้ เหตุการณ์จะสงบขึ้น”