วันที่ 22 พ.ย. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า #จากบัตรใบเดียวสู่บัตรสองใบ วันนี้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข นั่นคือการเลือกตั้งจากบัตร 1 ใบ ไปเป็นบัตร 2 ใบ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนี้ สิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือ
1. จะเหลือพรรคการเมืองที่มีศักยภาพไม่มาก การใช้เงินซื้อเสียงจะหนักมาก ส.ส. จะมีค่าตัว และใช้เงินจำนวนมากล่อใจ ส.ส.ให้มาอยู่ด้วย
2. โอกาสได้ ส.ส. หน้าเก่า ระบบตระกูล ส.ส. ประจำจังหวัดจะกลับมา ไม่ว่าจะยุบสภาหรือครบวาระ ส.ส.หน้าเก่าจะเข้ามา ไม่น้อยกว่า 70% เพราะโครงข่ายหัวคะแนนที่เลือกตัว ส.ส.จะทำงานได้ผล
3. ระบบมุ้งการเมือง แต่ละมุ้งจะดูแล ส.ส.ในสังกัด มีอำนาจต่อรองสูง ต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี จะกลับมาให้ได้เห็น หลังจากห่างซาไปนาน จะได้เห็นมุ้งต่างๆย้ายพรรคถ้าไม่พอใจ
นพ.วรงค์กล่าวว่า 4. ระบบการทุจริตจะหนักขึ้น เพราะต้องให้รัฐมนตรีหัวหน้ามุ้งหาเงิน เพื่อไปดูแล ส.ส.ในสังกัด ชนิดแบ่งกันกิน แบ่งกันโกง อำนาจต่อรองของนายกจะลดลงมาก แต่ถ้านายกให้แบ่งกันโกง นายกจะมีอำนาจมากขึ้น
5. ประโยคจังหวัดไหนไม่เลือก ดูแลทีหลัง อาจจะกลับมาได้ยินอีก เพราะอำนาจต่อรองของประชาชน จะลดลงไปไปมาก เพราะระบบคะแนนเปลี่ยนจากทุกคะแนนมีความหมาย เปลี่ยนมาสู่คะแนนของผู้ชนะ คะแนนแพ้ตกทิ้งน้ำ
6. ทุนสามานย์ ทุนผูกขาด ทุนสัมปทานพร้อมที่จะลงทุนทางการเมืองเต็มที่ เพราะได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แน่นอน ทุจริตเชิงนโยบายจะเบ่งบานขึ้น
7. การเมืองไทยจะวนเวียนกลับไปสู่อดีต หลายคนบอกว่า เบื่อพรรคล้มล้าง ตนกับมองว่า นักการเมืองพวกนี้ เจอประชาชนสู้ก็แทบหมดสภาพแล้ว แต่พวกทุนโกงชาติน่ากลัวกว่า เพราะมีโอกาสโกงจนเหลิงและหวังจะล้มล้างตามมา ถึงขนาดกล้าประกาศทำผิดกฎหมาย “พาพ่อกลับบ้าน”
นพ.วรงค์กล่าวอีกว่า ตนเอาประสบการณ์มาเล่า เพื่อให้เห็นภาพว่า ทำไมจึงสู้เรื่องบัตรใบเดียว เพราะระบบบัตรใบเดียวเหมาะกับสภาพการเมืองไทย สามารถปราบโกงได้ แต่บัตรสองใบต้องพึ่งทุน ง้อ ส.ส. หนักมาก แต่อย่าเพิ่งหมดหวัง ตนเคยร้องเรื่องนี้ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน และได้รับสิทธิ์ในการร้องเรื่องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเองตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว จะไปร้องศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเองเร็วๆ นี้