เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภาครั้งที่ 5 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) ที่มีพล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสด โดยนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภาตั้งกระทู้ถาม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม
โดยนายวันชัย กล่าวว่า ตนขอตั้งกระทู้ถาม ตั้งแต่ท่านเข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่ๆ ได้ประกาศชัดว่าจะแก้ปัญหาสถานการณ์ผู้ต้องขังล้นเรือนจำให้ได้ ตนเฝ้ามองอยู่และอยากทราบการดำเนินการของท่านว่าขณะนี้ได้แก้ปัญหานี้ไปอย่างไร ด้วยวิธีใดบ้าง และที่สำคัญมาตรการที่ไม่ทำให้คนกลับมาติดคุกอีก มีนโยบายการดำเนินการไปแล้วอย่างไรหรือไม่ และการดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ การใช้ชีวิต การนอน มีการแก้ปัญหาอย่างไร มีการบำบัดอย่างไรบ้าง ประการต่อมาคือเรื่องของโควิด-19 ภายในเรือนจำ ที่ผ่านมาสถานการณืแรงมาก ท่านได้แก้ไขอย่างไร และมีการเปิดให้เยี่ยมญาติไปบ้างหรือยัง นี่คือสิ่งที่ท่านรมว.ต้องชี้แจงให้สังคมได้รับรู้เพราะเป็นเรื่องที่เร่งด่วน
ด้านนายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีมีบัญชาอย่างชัดเจนว่า กระทู้หรือญัตติต่างๆ หากไม่จำเป็นรัฐมนตรีต้องมาตอบ ไม่ควรจะเลื่อน ในคำถามของนายวันชัย ตนขอชี้แจงว่า ก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี มีผู้ต้องขังประมาณ 390,000 คน ล้นจนขนาดที่เราเปรียบเทียบว่าพื้นที่นอนของผู้ต้องขังน้อยกว่าโลงศพ ต้องนอนทับกันเกยกัน วันนี้เราได้แก้ปัญหาโดยใช้แนวทางคือ 1.สร้างระเบียบที่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เพิ่มการใช้กำไล EM ใช้กับผู้ต้องขังที่เหลือโทษไม่มาก ความประพฤติเรียบร้อย คดีไม่ร้ายแรง เราจะให้สิทธิการพักโทษด้วยเหตุพิเศษ ขณะนี้มีผู้ใช้กำไล EM ไปแล้วประมาณ 80,000 คน 2.การขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้เราได้แบ่งกลุ่มนักโทษเป็น 3 ส่วนคือ เทวดาตกสวรรค์ ขุนแผนติดคุก และสุดท้ายคือ พวกบัวใต้ตม ที่เป็นส่วนของคดีร้ายแรง เช่น ฆ่าข่มขืน ฆาตรกรโรคจิต นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ซึ่งพวกบัวใต้ตมจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ โดยเรากำลังร่างกฎหมายป้องกันการกระทำผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์ หรือที่เรียกว่า JSOC ที่จะช่วยดูแลและป้องกันสังคมจากคนกลุ่มนี้
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ผู้ต้องขังในเรือนจำลดเหลือประมาณ 280,000 ราย ขยายพื้นที่นอนได้เป็น 1.2 ตร.ม.ต่อคน และเรากำลังขยายให้เป็น 1.6 ตร.ม. และมีการนำร่องใช้ที่นอนใน 2 เรือนจำ คือเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลาง ในส่วนของสถานการณ์โควิด เราได้วัคซีนครบแล้ว เข็มแรกฉีดได้ 90% เข็มสอง 80% เหตุที่เรายังฉีดได้ไม่ครบ 100% เพราะเราต้องรอผู้ต้องขังที่ติดเชื้อที่หายแล้ว ต้องรอระยะเวลาในการฉีด นอกจากนี้เรามีแนวทางของการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ในช่วยป้องกันและรักษาโรคด้วย ส่วนการเปิดเยี่ยมญาติ เราได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย. จนถึงขณะนี้เปิดเยี่ยมแล้ว 38 เรือนจำ จะเปิดเพิ่มภายในสิ้นเดือนนี้อีก 8 แห่ง ที่เหลือ 97 แห่ง จะทยอยเปิดภายในเดือน ธ.ค. โดยมาตรการการเยี่ยมจะเปิดให้ลงทะเบียบจองคิว และมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น ผู้เข้าเยี่ยมต้องฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม มีการรักษาระยะห่าง และทำความสะอาดห้องเยี่ยมทุกครั้งหลังเยี่ยมเสร็จ
“ที่ผ่านมาคนที่ถูกปล่อยตัวจะกลับเข้าเรือนจำประมาณ 35% หากเราไม่สามารถยับยั้งการกลับมาทำผิดได้จะไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งคนที่ทำผิดซ้ำส่วนแรกคือ คดีที่ยาเสพติด เราต้องปราบให้ได้และเราได้มีประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่แล้ว และอีกส่วนคือ คนที่ไม่มีงานทำ รัฐบาลเคยให้ผู้ประกอบการที่รับอดีตผู้ต้องขังทำงาน จะลดภาษีให้ แต่ไม่ได้ผลเท่าไร ดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมก่อนปล่อย เช่น สมุทรปราการโมเดล ส่งผู้พักโทษไปทำงานงานกับโรงงานอุตสาหกรรม และล่าสุดการทำ MOU กับบริษัทเดินเรือสินค้า และเรายังให้ผู้ต้องขังเรียนคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการยกระดับสกิล โดยสเต็ปต่อไปคือการทำนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ที่นายกฯให้หน่วยงานต่างๆสนับสนุน เพราะท่านมีนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องให้โอกาสผู้คนมีงานทำ ซึ่งในส่วนของแรงงานของผู้ต้องขังจะมีรายได้เป็นแสนล้านต่อปี จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ และลดค่าใช้จ่ายในเรือนจำได้อีกหลายพันล้านบาท” นายสมศักดิ์ กล่าว