ภายหลังจากที่กลุ่มประชาชนปกป้องสถาบันร่วมเข้าชื่อเพื่อขับไล่ องค์การนิรโทษกรรมสากล หรือ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกไปจากประเทศไทยโดยยื่นหนังสือถึง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และนายกรัฐมนตรีสั่งให้กระทรวงมหาดไทยและเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบแล้ว
โดยนายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์กับ Top News ถึงประเด็นนี้ว่า กำลังตรวจสอบถึงการขอจัดตั้งสมาคมของแอมเนสตี้ที่ขอไว้ตั้งแต่ปี 2546 ว่าขอจัดตั้งด้วยวัตถุประสงค์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและมีอยู่หลายข้อ จะต้องไปดูว่ามีอะไรบ้างและตรวจสอบว่า ได้ดำเนินการในปัจจุบันเป็นอย่างไร ตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่ หากไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ ก็ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่ง เรื่องสมาคมในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 102 เนื่องจากขอจดจัดตั้งเป็นสมาคม แอมแนสตี้ ประเทศไทย ไว้
โดยในส่วนที่มีการกล่าวว่า แอมเนสตี้มีส่วนเข้าไปสนับสนุนให้กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น นายธนาคม กล่าวว่า กำลังให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงอยู่และจะต้องไปดูสมาคมพูดเอง ใช้ชื่อสมาคมเลยหรือไม่ หรือ เป็นตัวบุคคลในสมาคมที่กล่าวอ้าง ซึ่งต้องขอดูข้อเท็จจริงก่อน ไม่อยากที่จะพูดในตอนนี้เนื่องจากต้องรอการตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน ขณะนี้ได้ประสานกับทางตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานอยู่
ทั้งนี้หากพบแอมเนสตี้ได้กระทำความผิด หรือเข้าข่ายดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์ในการขอจัดตั้งสมาคม ทางกรมการปกครองก็จะดำเนินการตามวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง หรือ วิปกครอง โดยมีขั้นตอนคือต้องแจ้งไปทางแอมเนสตี้เพื่อสามารถที่จะให้ทางสมาคมแก้ต่างและอุทธรณ์ได้ โดยกรมการปกครองจะมีคำสั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียน และยกเลิกการดำเนินกิจการของสมาคมแอมเนสตี้ทันที หากทางแอมเนสตี้ไม่พอใจสามารถยื่นฟ้องศาลปกครองได้
โดยอธิบดีกรมการปกครอง ยืนยันว่ากำลังดำเนินการในเรื่องนี้อยู่ เริ่มตรวจสอบและ เริ่มทำแล้ว จะเร่งทำให้ถือเป็นเรื่องด่วน เนื่องจากอยู่ในกระแสที่ประชาชนให้ความสนใจ และมีความสำคัญ
สำหรับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 102 ให้นายทะเบียนมีอำนาจสั่งถอนชื่อสมาคมออกจากทะเบียนได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อปรากฏในภายหลังการจดทะเบียนว่า วัตถุประสงค์ของสมาคมขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ และนายทะเบียนได้สั่งให้แก้ไขแล้วแต่สมาคมไม่ปฏิบัติตามภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
(2) เมื่อปรากฏว่าการดำเนินกิจการของสมาคมขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจเป็นภยันตรายต่อความสงบสุขของประชาชนหรือความมั่นคงของรัฐ
(3) เมื่อสมาคมหยุดดำเนินกิจการติดต่อกันตั้งแต่สองปีขึ้นไป
(4) เมื่อปรากฏว่าสมาคมให้หรือปล่อยให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่กรรมการของสมาคมเป็นผู้ดำเนินกิจการของสมาคม
(5) เมื่อสมาคมมีสมาชิกเหลือน้อยกว่าสิบคนมาเป็นเวลาติดต่อกันกว่าสองปี