ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “สิงห์สยามโพล” คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาญชัย จิตรเหล่าอาพร คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยสาขารัฐศาสตร์ แถลงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เรื่อง การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยทำการสำรวจข้อมูลระหว่าง วันที่ 1 – 10 ธันวาคม 2564 ด้วยแบบสอบถามออนไลน์จากประชาชนในเขตกรุงเทพที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,642 ตัวอย่าง โดยใช้การสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบหลายขั้นตอน (Multi Stage Random Sampling) โดยเบื้องต้นใช้วิธีการแบบง่าย (Simple Random Sampling) โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 เพื่อเลือกพื้นที่ในการเก็บข้อมูลในเขตกรุงเทพ ปริมณฑล และเขตภาคกลางดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) เพื่อเก็บข้อมูลจากประชาชนที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป
ผลการสำรวจ พบว่า
1) ด้านคุณลักษณะของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีเห็นว่าควรมีความรู้ความสามารถ มากที่สุด (ร้อยละ 31.1) รองลงมาคือ ภาวะผู้นำ และซื่อสัตย์สุจริต (ร้อยละ 15.6) เป็นนักประสานผลประโยชน์ระดับชาติและพื้นที่ (ร้อยละ 11.1), มีคุณธรรม จริยธรรม และอื่นๆ (ร้อยละ 8.9) และสุดท้ายคือ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ และ ยึดมั่นในกฎระเบียบ (ร้อยละ 4.4)
2) ด้านการสังกัดพรรคการเมืองของผู้สมัครรับเลือกตั้ง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง (ร้อยละ 84.1) และผู้สมัครรับเลือกตั้งจำเป็นต้องสังกัดพรรค (ร้อยละ 15.9)
3) ด้านความชื่นชอบพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ชื่นชอบพรรคการเมือง (ร้อยละ 62.2) รองลงมาคือพรรคเพื่อไทย (ร้อยละ 11.1.2) พรรคก้าวไกล (ร้อยละ 8.9) พรรคอื่นๆ (ร้อยละ 6.72),พรรคประชาธิปัตย์ (ร้อยละ 6.7) และสุดท้ายพรรคพลังประชารัฐ และพรรคกล้า (ร้อยละ 2.2)
4) ด้านความคาดหวังต่อนโยบายของกรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคาดหวังต่อนโยบายการแก้ปัญหาจราจร (ร้อยละ 26.7) รองลงมาคือ การเปิดกรุงเทพมหานครให้ใช้ชีวิตปกติ (ร้อยละ 20.0) แก้ปัญหาน้ำท่วม (ร้อยละ 15.6) แก้ปัญหาอื่นๆ (ร้อยละ 13.3) และการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 (ร้อยละ 13.3) ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต้องการฉีดวัคซีน Pfizer มากที่สุด (ร้อยละ 35.7) รองลงมาคือ Moderna (ร้อยละ 21.4) Johnson & Johnson (ร้อยละ 21.4) AstraZeneca (ร้อยละ 14.3) และสุดท้ายคือ Sinovac Sinopharm และ Sputnik ตามลำดับ
5) ด้านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องมาจากอาชีพใด พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่ามาจากอาชีพอื่นๆ มากที่สุด (ร้อยละ 80.0) รองลงมาคือ นักการเมือง (ร้อยละ 11.1) และสุดท้ายคืออาจารย์ และทหาร (ร้อยละ 4.4) ตามลำดับ
6) ด้านแนวโน้มเลือกสมาชิกสภากรุงเทพมหานครตามพรรคหรือกลุ่มที่สังกัดของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่แน่ใจ (ร้อยละ 51.1) รองลงมาคือ เลือก (ร้อยละ 28.9) และสุดท้ายคือไม่เลือก (ร้อยละ 20.0)
7) ด้านการที่สมาชิกสภากรุงเทพมหานครควรสังกัดพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าควรอิสระ (ร้อยละ 51.1) รองลงมาคือ อื่นๆ (ร้อยละ 35.6) พรรคก้าวไกล (ร้อยละ 6.7) และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น
8) อยากให้ทุกจังหวัดมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยากให้ทุกจังหวัดมีการเลือกตั้งมากที่สุด (ร้อยละ 72.7) รองลงมาคือ ไม่แน่ใจ (ร้อยละ 18.2) และสุดท้ายไม่มีการเลือกตั้ง (ร้อยละ 9.1)
เมื่อพิจารณาข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มประชากรจำนวน 1,642 ตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มากที่สุด (ร้อยละ 60.0) รองลงมาคือ เพศหญิง(ร้อยละ 28.9) และ LGBTQ (ร้อยละ 11.1) ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21 – 30 ปี มากที่สุด (ร้อยละ 35.6) รองลงมาคือ 41-50 ปี (ร้อยละ 40.0) 31 – 40 ปี (ร้อยละ 13.3) ต่ำกว่า 20 ปี (ร้อยละ 6.7) 51 – 60 ปี (ร้อยละ 2.2) และสุดท้าย 61 ปีขึ้นไป (ร้อยละ2.2) ด้านระดับการศึกษานั้น พบว่า ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 47.7) รองลงมาคือ สูงกว่าปริญญาตรี (ร้อยละ 45.5) และต่ำกว่าปริญญาตรี (ร้อยละ 6.8) โดยมีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 25,001 บาท (ร้อยละ 42.2) รองลงมาคือ 15,001 – 25,000 บาท (ร้อยละ 33.3) และสุดท้ายต่ำกว่า 15,000 บาท (ร้อยละ 24.4) โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านกรุงเทพมหานคร (ร้อยละ 50.0) และมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นๆ (ร้อยละ 50.0)
การวิเคราะห์ผลสำรวจ
เมื่อพิจารณาผลการสำรวจรายประเด็นย่อมพบว่า
1) ด้านคุณลักษณะของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีเห็นว่า คุณลักษณะของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ควรมีความรู้ความสามารถ มากที่สุดถึงร้อยละ 31.1 มากกว่า คุณลักษณะด้านภาวะผู้นำและซื่อสัตย์สุจริต (ร้อยละ 15.6) หรือประเด็นอื่นๆ เช่น การเป็นนักประสานผลประโยชน์ระดับชาติและพื้นที่ (ร้อยละ 11.1) และโดยเฉพาะการมีคุณธรรม จริยธรรม และอื่นๆ (ร้อยละ 8.9) และการมีความมุ่งมั่นตั้งใจ และ ยึดมั่นในกฎระเบียบ (ร้อยละ 4.4) ย่อมอธิบายได้ว่า ประชาชนในกรุงเทพมหานคร ทั้งมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านกรุงเทพมหานคร (ร้อยละ 50.0) และมีภูมิลำเนาจังหวัดอื่นๆ (ร้อยละ 50.0) นั้น ต่างเห็นว่า ความเก่งและความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาภายในกรุงเทพมหานครนั้นเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินใจเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
2) ด้านการสังกัดพรรคการเมืองของผู้สมัครรับเลือกตั้ง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง (ร้อยละ 84.1) และผู้สมัครรับเลือกตั้งจำเป็นต้องสังกัดพรรค (ร้อยละ 15.9) ย่อมอธิบายได้ว่า บริบทการเมืองปัจจุบันนั้น ประชาชนในกรุงเทพมหานครต่างตระหนักว่า คุณสมบัติส่วนบุคคลของบุคคลดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนั้นมีความสำคัญมากกว่าบทบาทการสนับสนุนของพรรคการเมืองสำหรับการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจเป็นเพราะกรุงเทพมหานครนั้นเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ การสังกัดพรรคการเมืองของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอาจไม่ใช่สิ่งที่มีความจำเป็นมากนัก ซึ่งอาจอนุมานได้เช่นเดียวกับการดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดของหลายจังหวัดที่ผู้ได้รับการเลือกตั้งนั้นเป็นผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง
3) ด้านความชื่นชอบพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่ชื่นชอบพรรคการเมือง (ร้อยละ 62.2) รองลงมาคือพรรคเพื่อไทย (ร้อยละ 11.1.2) พรรคก้าวไกล (ร้อยละ 8.9) พรรคอื่นๆ (ร้อยละ 6.72),พรรคประชาธิปัตย์ (ร้อยละ 6.7) และสุดท้ายพรรคพลังประชารัฐ และพรรคกล้า (ร้อยละ 2.2) ย่อมอธิบายได้ว่า ความตระหนักถึงความสำคัญของพรรคการเมืองในทัศนะของประชาชนในกรุงเทพมหานครต่อการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ยังคงให้ความสำคัญกับคุณสมบัติส่วนบุคคลของบุคคลดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งมีระดับค่าร้อยละ 60 เศษ ทั้งนี้ในทัศนะของประชาชนเห็นว่า หากมีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครนั้น พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์นั้นถือเป็นคู่แข่งสำคัญในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งพบข้อสังเกตว่าในช่วงการเก็บผลสำรวจนั้น พรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
4) ด้านความคาดหวังต่อนโยบายของกรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคาดหวังต่อนโยบายการแก้ปัญหาจราจร (ร้อยละ 26.7) รองลงมาคือ การเปิดกรุงเทพมหานครให้ใช้ชีวิตปกติ (ร้อยละ 20.0) แก้ปัญหาน้ำท่วม (ร้อยละ 15.6) แก้ปัญหาอื่นๆ (ร้อยละ 13.3) และการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 (ร้อยละ 13.3) ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ต้องการฉีดวัคซีน Pfizer มากที่สุด (ร้อยละ 35.7) รองลงมาคือ Moderna (ร้อยละ 21.4) Johnson & Johnson (ร้อยละ 21.4) AstraZeneca (ร้อยละ 14.3) และสุดท้ายคือ Sinovac Sinopharm และ Sputnik ตามลำดับ ย่อมอธิบายได้ว่า สภาพปัญหาที่ประชาชนในกรุงเทพมหานครรู้สึกอึดอัดและต้องการการแก้ไขปัญหามากที่สุดยังคงเป็นเรื่องของปัญหาการจราจร และปัญหาเรื่องของวิถีการใช้ชีวิตปกติภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 โดยมีปัญหาเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วม และการฉีดวัคซีนเป็นปัญหาที่มีความสำคัญตามมา ทั้งนี้ย่อมพบว่า วัคซีนที่ทางกรุงเทพมหานครได้รับการจัดสรรจากทางรัฐบาลนั้น ยังไม่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในกรุงเทพมหานคร ดังเห็นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีความต้องการ Pfizer, Moderna และ Johnson & Johnson รวมเกินกว่าร้อยละ 70
5) ด้านผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต้องมาจากอาชีพใด พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่ามาจากอาชีพอื่นๆ มากที่สุด (ร้อยละ 80.0) รองลงมาคือ นักการเมือง (ร้อยละ 11.1) และสุดท้ายคืออาจารย์ และทหาร (ร้อยละ 4.4) ตามลำดับ ย่อมอธิบายได้ว่า ประชาชนในกรุงเทพมหานครนั้นไม่ให้ความสำคัญกับภูมิหลังในการประกอบอาชีพของผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมากนัก ซึ่งเป็นผลเกิดจากความต้องการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ และเข้าใจปัญหาในรูปแบบ “การแก้ไขแบบสหวิถี (Multi-Application Solution) ที่ต้องบูรณาการทั้งองค์ความรู้ เทคนิค และวิธีการ ที่สอดคล้องกับสภาพหรือบริบทปัญหาที่แตกต่างกัน บนพื้นฐานความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ประสบการณ์การทำงานที่เชี่ยวชาญเพียงด้านใดด้านหนึ่งจึงอาจไม่เพียงพอในการตอบโจทย์ของปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนในมหานครของกรุงเทพมหานคร
6) ด้านแนวโน้มเลือกสมาชิกสภากรุงเทพมหานครตามพรรคหรือกลุ่มที่สังกัดของผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่แน่ใจ (ร้อยละ 51.1) รองลงมาคือ เลือก (ร้อยละ 28.9) และสุดท้ายคือไม่เลือก (ร้อยละ 20.0) ย่อมอธิบายได้ว่า ประชาชนในกรุงเทพมหานครนั้น อาจมีทัศนะในการสร้างการถ่วงดุลการใช้อำนาจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครผ่านสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เนื่องจากในระดับเขตไม่ปรากฎให้มีการจัดการเลือกตั้งในระดับเขตหรือสมาชิกสภาเขต หรือ สข. บทบาทของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ สก. จึงมีความสำคัญใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น ประกอบกับอิทธิพลของกระแสผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองยังปรากฏให้เห็นผ่านทัศนะของการเลือกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจากการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ อีกทั้งตลอดระยเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา ประชาชนจำนวนมากยังอาจเคยชินกับระบบการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของกรุงเทพมหานคร จึงมองเห็นว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานครจากพรรคหรือกลุ่มที่สังกัดนั้นไม่มีความจำเป็นมากนัก ซึ่งย่อมบ่งชี้ให้เห็นว่า พรรคหรือกลุ่มที่สังกัดของผู้สมัครรับเลือกตั้งอาจมีอิทธิพลไม่มากพอต่อการตัดสินใจเลือกของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้เท่ากับการเป็นผู้สมัครอิสระที่หาคะแนนเสียงมานาน หรือมีฐานคะแนนเสียงที่เข้มแข็งของตนเอง
7) ด้านการที่สมาชิกสภากรุงเทพมหานครควรสังกัดพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าควรอิสระ (ร้อยละ 51.1) รองลงมาคือ อื่นๆ (ร้อยละ 35.6) พรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น ย่อมอธิบายได้ว่า เมื่อสำรวจความคิดเห็นจากประชาชนในเชิงลึกย่อมช่วยยืนยันให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นว่าสมาชิกสภากรุงเทพมหานครควรสังกัดพรรคการเมืองไม่มีความจำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง หรือควรเป็นผู้สมัครอิสระมากกว่า และหากมีความจำเป็นต้องเลือกผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น พรรคก้าวไกล และพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ ต่างมีความนิยมที่ใกล้เคียงกัน
8) อยากให้ทุกจังหวัดมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยากให้ทุกจังหวัดมีการเลือกตั้งมากที่สุด (ร้อยละ 72.7) รอ