วันนี้ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง “ระหว่างยาโมลนูพิราเวียร์ กับแพกซ์โลวิดสำหรับรักษาโรคโควิด-19 ประเทศไทยควรจะเลือกสั่งซื้อและจองยาตัวไหน”
โดย นายแพทย์มนูญ ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ FDA เพิ่งจะอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัท เมอร์ค สำหรับรักษาโรคโควิด-19 ถือเป็นการอนุมัติยาต้านไวรัสแบบเม็ดตัวที่ 2 ก่อนหน้านี้ FDA สหรัฐฯได้อนุมัติการใช้ยาแพกซ์โลวิดของบริษัทไฟเซอร์ ยาเม็ดชนิดกินตัวแรกสำหรับรักษาโรคโควิด-19
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กังวลว่ายาโมลนูพิราเวียร์อาจทำให้เกิดการผิดพลาด เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ด้วย ถึงแม้ว่าผลการทดลองเบื้องต้นพบว่า ยาโมลนูพิราเวียร์จะมีผลข้างเคียงต่ำ เทียบเท่ากับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ การใช้โมลนูพิราเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสทำให้เกิดความพิการในเด็กทารก ดังนั้นในกรณีเป็นผู้ป่วยหญิงวัยเจริญพันธุ์ ควรตรวจภาวะการตั้งครรภ์ก่อนเริ่มยานี้ และห้ามให้ในกรณีที่ผู้ป่วยตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังกังวลการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์นานๆ อาจก่อให้เชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ เกิดการดื้อยา ติดเชื้อแพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น และหลบหลีกภูมิคุ้มกันจากการได้รับวัคซีน โดยรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่เพิ่งประกาศยกเลิกคำสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ เพราะผลการทดสอบใช้งานกับอาสาสมัครจนครบเฟส 3 ให้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ ลดความเสี่ยงจากอาการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลและความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้เพียง 30% ต่างกับผลการทดสอบตอนที่ยุติการทดลองกับอาสาสมัครที่ระบุว่ามีประสิทธิภาพ 50%
นายแพทย์มนูญ ระบุอีกว่า ยาแพกซ์โลวิดมีประสิทธิภาพสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ หากได้รับยาภายใน 3 วัน นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ ช่วยลดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตลง 89% หากรับยาภายใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ ประสิทธิผลจะอยู่ที่ 85% ประเทศไทยควรทำตามอย่างประเทศฝรั่งเศส ยกเลิกการสั่งซื้อและจองยาโมลนูพิราเวียร์ สั่งซื้อและจองเฉพาะยาแพกซ์โลวิดเท่านั้น