วันนี้(30 ธ.ค.) ที่ศูนย์แถลงข่าว กระทรวงสาธารณสุข นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงสถานการณ์โควิด19 ฉากทัศน์การแพร่ระบาดและการปฏิบัติตัวของประชาชน ว่า ขณะนี้ทั่วโลกติดเชื้อโควิด-19 สะสมประมาณ 284 ล้านราย เสียชีวิตสะสมประมาณ 5.4 ล้านราย โดยสหรัฐอเมริกาติดเชื้อรายใหม่สูงมาก โดยตัวเลขติดเชื้อใหม่อยู่ที่ 415,433 ราย เสียชีวิต 1,436 ราย อังกฤษติดเชื้อ 183,037 ราย แต่เสียชีวิต 57 ราย เป็นตัวเลขสองหลักเท่านั้น
ขณะที่สถานการณ์ของโควิด สายพันธุ์โอมิครอน เริ่มจากที่ประเทศแอฟริกาใต้ พบว่ามีคลื่นการระบาด 4 ระลอกคลื่น ของการแพร่ระบาดทั้งสายพันธุ์อัลฟ่า , เดลต้า ที่จะพบว่า ตัวเลขของผู้เสียชีวิตที่มีกราฟสูงตามอัตราผู้ติดเชื้อ แต่พอมาเป็นระลอกสายพันธุ์โอมิครอน จะพบว่า มีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงสุดกว่าเดลต้า แต่ผู้เสียชีวิตต่ำมาก ก่อนหน้านี้ นักวิชาการได้วิเคราะห์กว่า การแพร่ระบาดจะพุ่งสูงใน 2 สัปดาห์ และเมื่อผ่านจุดสูงสุดกราฟจะลดต่ำลง ซึ่ง แอฟริกาก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่ก็พบว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจาก โอมิครอน ต่ำมาก
สำหรับอังกฤษ ตอนเดลตา ตัวเลขผู้เสียชีวิตก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น นั่นเพราะมีการฉีดวัคซีนต่อเนื่องมากเรื่อย จึงเป็นผลให้ช่วยลดการป่วยหนักและลดการเสียชีวิต ขณะที่สหรัฐอเมริกา สัปดาห์ที่แล้วพบว่าโอไมครอนน่าจะครอบคลุมประมาณ 73% แต่เมื่อมีข้อมูลเพิ่มเติมสัปดาห์นี้อยู่ที่ 58% แต่ไม่ว่าตัวเลขไหนก็ยังเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูง ส่วนเสียชีวิตยังไม่สูงเท่าเดลตา อย่างไรก็ตาม อเมริกาคงต้องติดตามต่อเนื่องว่า หากการเสียชีวิตไม่สูงเท่าเดลตา ทั้งที่การติดเชื้อแซงเดลตาไปมาก แสดงว่าลักษณะอาการอาจไม่รุนแรง แต่ทางวิชาการก็ยังไม่ด่วนสรุป
ขณะที่ประเทศไทยเรา มีรายงานผู้ติดเชื้อ โอมิครอน ตัวเลขล่าสุด ในการประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน วันนี้อยู่ที่ 934 ราย
นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า สำหรับการเดินทางเข้าประเทศตั้งแต่วันที่ 1-29 ธ.ค.2564 มีผู้เดินทางเข้ามา 270,851 ราย สูงเป็นสองเท่าของเดือน พ.ย.2564 ส่วนจำนวนการติดเชื้อในเดือน พ.ย. 171 ราย มาจาก Test&Go 83 ราย ส่วนเดือนธ.ค.ติดเชื้อ 1,056 ราย มาจากTest&Go 730 ราย สูงขึ้นประมาณ 4 เท่า ส่วนหนึ่งเป็นจากสถานการณ์ของประเทศต้นทางต่างๆ แสดงว่าโอไมครอนแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ภาพรวมการเดินทางเข้าประเทศทุกระบบติดเชื้อสูงขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ อัตราการติดเชื้อจำแนกตามประเทศต้นทางช่วงวันที่ 1-29 ธ.ค.2564 พบว่า เยอรมนีมากที่สุด มีจำนวนผู้เดินทาง 24,119 ราย ติดเชื้อ 0.2% อังกฤษ เดินทางเข้ามา 18,764 ราย ติดเชื้อ 0.95% รัสเซีย เดินทางเข้ามา 15,088 ราย ติดเชื้อ 0.4% สหรัฐเดินทางเข้ามา 10,913 ราย ติดเชื้อ 1.35%
“ในส่วนของผู้เสียชีวิตของไทยวันนี้ มีจำนวน 25 ราย ต้องขอย้ำว่า ผู้เสียชีวิตก็ยังเป็นกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่มผู้มีโรคเรื้อรัง ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดจะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้” นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า
ด้าน นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ยังขอย้ำเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด โดยวัคซีนทุกชนิดทุกยี่ห้อ เมื่อฉีดครบโดสจะลดการป่วยหนักได้ แต่เมื่อเป็นโอไมครอน เมื่อฉีดไปแล้วเป็นเวลานาน ภูมิต้านทานอาจไม่เพียงพอ ประสิทธิผลการป้องกันการติดเชื้ออาจลดลง เห็นได้จากตัวอย่างหลายประเทศ จำนวนการเข้ารพ.ไม่เพิ่ม แต่ติดเชื้อสูงขึ้น ดังนั้น คนฉีดวัคซีน 2 เข็มแล้วต้องฉีดกระตุ้น คนฉีดไม่ครบต้องฉีดให้ครบ
“หลังจากมีวัคซีนโควิดเป็นพื้นฐานแล้ว มาตรการสำคัญ คือ V-U-C-A ประกอบด้วย Vaccine ฉีดครบ ลดป่วยหนัก Universal Prevention ป้องกันตัวเองตลอดเวลา ห่างไกลจาก COVID-19COVID Free Setting สถานที่บริการพร้อม ผู้ให้บริการได้รับวัควีนครบ ตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ATK (Antigen test kit) ตรวจการติดเชื้อเมื่อสงสัยหรือมีอาการและก่อนหรือหลังการร่วมกิจกรรมที่มีโอกาสเสี่ยง” นพ.ทวีทรัพย์ กล่าว และว่า สธ.ยังร่วมกับกระทรวงคมนาคม ได้จัดบริการตรวจโควิดด้วย ATK ได้ที่สถานีหมอชิด และสถานีหัวลำโพง ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 3 ม.ค.64
ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงปีใหม่ประชาชนพบปะสังสรรค์มากขึ้น การตรวจ ATK ทุก 3 วันจะถี่เกินไปหรือไม่ หรือมีโอกาสเจอผลบวกลวงหรือไม่ นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า การตรวจ ATK จะเป็นกรณีถ้าสงสัยว่า รับเชื้อหรือไม่ ก็ตรวจได้ตัวเอง ซึ่งทั่วไปหลังรับเชื้อจะพบในช่วง 3 วัน ซึ่งก็สามารถตรวจได้ แต่มาตรการการตรวจคัดกรอง ก็ยังไม่ใช่ป้องกัน 100% เพราะแม้ตรวจแล้วไม่เป็น แต่ก็ยังต้องมีมาตรการปฏิบัติตัวเช่นเดิม ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งคำแนะนำกระทรวงฯ คือ ต้องป้องกันตัวเองตลอดเวลา และใช้ ATK เป็นมาตรการเสริม ส่วนผลบวกลวงเกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถตรวจซ้ำเพื่อยืนยัน