ปัญหาราคาหมูแพงตั้งแต่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ลากยาวมาจนถึงขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกย่อมหญ้า ทั้งภาคครัวเรือน และภาคธุรกิจ เพราะจากเดิมราคาหมูหน้าเขียงไม่เกิน 120 บาทต่อกิโลกรัม ก็ปรับสูงขึ้นมากว่า 220-250 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ คาดการณ์ว่า ราคาหมูมีโอกาสที่จะทะลุ 300 บาทต่อกิโลกรัม ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ราคาหมูแพงในช่วงนี้ นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้ชี้ชัดๆว่า สาเหตุมาจาก
1.ปริมาณผลผลิตหมูในตลาดปรับลดลง 50% จากปริมาณการบริโภคเฉลี่ยวันละ 40,000 ตัว ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้ปริมาณหมูลดลง มาจากโรคระบาดในหมูหลายโรค ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับผลผลิตหมูมา 2 ปีแล้ว
2.ต้นทุนการเลี้ยงจากราคาอาหารสัตว์ปรับสูงขึ้นกว่า 30% ทั้งวัตถุดิบข้าวโพด-กากถั่วเหลือง-มันสำปะหลังปรับสูงขึ้นหมด ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงเฉพาะค่าอาหารเฉลี่ย 8,000 บาทต่อกิโลกรัม
3.ต้นทุนแฝงจากการป้องกันโรคระบาดหมูเพิ่มขึ้นมาอีกเฉลี่ย 500 บาทต่อตัว ส่งผลให้ผู้เลี้ยงหมูต้องหยุดการเลี้ยงไปกว่า 80-90% คิดเป็นสัดส่วนการเลี้ยงของรายย่อย 20% ของทั้งประเทศ ขณะที่รายใหญ่เลี้ยงอยู่ประมาณ 80%
ล่าสุดรัฐบาลได้คลอดมาตรการออกมาแก้ปัญหาราคาหมูแพงแล้ว โดยมีทั้งมาตรการระยะเร่งด่วน มาตรการระยะสั้น และมาตรการการแก้ไขปัญหาระยะยาว
สำหรับมาตรการเร่งด่วน ได้แก่
1.ห้ามส่งออกหมูมีชีวิตเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2565 ถึง วันที่ 5 เมษายน 2565 เพื่อเพิ่มปริมาณเนื้อหมูภายในประเทศ และจะพิจารณาตามสถานการณ์ว่าควรให้มีการต่ออายุหรือไม่ โดยตัวเลขเบื้องต้นในปี 2564 มีการเลี้ยงหมูป้อนเข้าสู่ตลาด ประมาณ 19 ล้านตัว บริโภคในประเทศ 18 ล้านตัว ส่งออกไปต่างประเทศประมาณ 1 ล้านตัว
2.ช่วยเหลือด้านราคาอาหารสัตว์ โดยเฉพาะส่วนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เช่น การงดเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษี ,การจัดสินเชื่อพิเศษของ ธ.ก.ส. เพื่อให้เกษตรกรที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้กลับมาเลี้ยงใหม่ในพื้นที่ความเสี่ยงต่อโรคระบาดต่ำ การตรึงราคาจำหน่ายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น
3.เร่งสำรวจภาพรวมสถานการณ์การผลิตสุกร เพื่อกำหนดพื้นที่เป้าหมายและมาตรการที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตแม่สุกรทดแทน โดยให้เกษตรกรใช้สุกรขุนตัวเมียมาใช้ทำพันธุ์ชั่วคราว เร่งเจรจาฟาร์มรายใหญ่ในการกระจายพันธุ์และลูกสุกรขุนให้กับรายย่อยและเล็กที่ต้องการกลับเข้ามาสู่ระบบใหม่ กำหนดโซนเลี้ยงและออกมาตรการบังคับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมโรค และเร่งรัดการวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค
มาตรการระยะสั้น ได้แก่ ส่งเสริมการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ การขยายกำลังผลิตแม่สุกร สนับสนุนศูนย์วิจัยและบำรุงสัตว์ ในสังกัดกรมปศุสัตว์และเครือข่ายคู่ขนานกับฟาร์มเกษตรกรและภาคเอกชน เร่งศึกษาวิจัยยาและสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อลดความสูญเสียจากโรคระบาด
มาตรการระยะยาว กระทรวงเกษตรฯจะผลักดันการยกระดับมาตรฐานฟาร์มของเกษตรกรเพื่อป้องกันโรคระบาด ส่งเสริมให้ปรับปรุงเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม หรือ GFM มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่ามาตรฐานฟาร์ม GAP ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงสุกรใหม่ เพิ่มปริมาณการผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค สนับสนุนการเลี้ยงโดยจะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กู้ยืมจาก ธ.ก.ส. ในโครงการสานฝันสร้างอาชีพ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ เร่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยเพื่อช่วยเหลือให้เข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว
มาตรการทั้งสามระยะ รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะทำให้ราคาเนื้อหมูกลับมาสู่ภาวะปกติได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ได้เสนออีกแนวทางคือ ให้มีการตั้ง “กองทุนฟื้นฟู” ขึ้นในอุตสาหกรรมนี้ โดยใช้โมเดลเรียกเก็บ “ค่าธรรมเนียมพิเศษ” หรือ Surcharge จากผู้ผลิตอาหารสัตว์ หรือผู้นำเข้าชิ้นส่วนต่าง ๆ ของหมู และนำเงิน Surcharge มาใช้ฟื้นฟูเกษตรกรรายย่อย แต่ขณะนี้ยังไม่ตกผลึกว่าจะเก็บเท่าไร เงินตั้งต้นกองทุนต้องเป็นเท่าไหร่