ม.ล. พิทยากรณ์ รัชนี หรือ “หม่อมจิม” โพสต์ เฟซบุ๊กส่วนตัว ประเด็นร้อนระอุทางการเมืองในรอบสัปดาห์ ที่ผ่านมา ระบุว่า …“ผลลัพธ์จะตอบทุกอย่าง” ไม่ได้เขียนเรื่องการเมืองมานานเนื่องด้วยความ “เอียน” ในวงจรการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมๆ รอบนี้ยอมรับว่าแอบเขียนปนความ “ชอบใจเล็กๆ” แต่ที่ชอบใจผลเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ “พรรคส้ม” ราชาแห่งโลกออนไลน์แต่เป็นชนกลุ่มน้อยในชีวิตจริงนั้นแพ้หลุดลุ่ย เพราะไม่เคยให้ค่าพรรคทำตัวเองประจานตัวเองพรรคนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่ที่ชอบใจคือ “พรรคพลังประชารัฐ” แพ้มากกว่า เห็นผู้มีอำนาจในพรรคหลายคนอุตส่าห์ลงไปช่วยหาเสียงด้วยท่าทีดุดัน แถมยังส่งผู้สมัครลงแข่งกับพรรคเจ้าของพื้นที่เดิมซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอีกต่างหาก
ทีนี้หูตาสว่างแล้วสินะว่าคนบางคนที่เขาเลือกพรรคนี้ คือเขาหลับหูหลับตาเลือกเพราะบังเอิญพรรคนี้ดันชู “ลุงตู่” เป็น Candidate นายกฯ คนบางคนเลย “จำใจ” เลือกพรรคนี้ไปโดยปริยาย เดี๋ยวเลือกตั้งซ่อมกทม. ซึ่งก็มีแนวโน้มว่าอาจจะแพ้อีก ทีนี้จะได้ตอกตะปูปิดฝาโลงให้ชัดๆ ไปเลยว่าคนหลายคนเขาเลือกเพราะ “ชอบลุงตู่” แต่ “เกลียดเนื้อในพรรคพลังประชารัฐ”
เอาตามตรงส่วนตัวตอนนี้ก็ไม่ได้ชอบพรรคประชาธิปัตย์ที่ชนะเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เลย เหตุมันมาตั้งแต่ครั้งหัวหน้าพรรคคนก่อน “ทานอุดมการณ์แทนข้าว” ไม่ได้ดูสถานการณ์บ้านเมืองเฉพาะหน้าเลยว่าทุกอย่างต้องปรับตัวไปตามความเหมาะสมของแต่ละช่วงเวลา ทั้งที่ตลอดชีวิตก็เชียร์มาโดยตลอด แต่ที่เชียร์ให้ชนะรอบนี้ก็เพราะ “เหนื่อยหน่ายใจ” สส.หลายคนในพรรคพลังประชารัฐไล่ตั้งแต่สากะเบือยันเรือรบยันไม้จิ้มฟันเลย
นี่ถ้ายังไม่หยุดความมั่นหน้ามั่นโหนกแทงข้างหลังนายกฯ อยู่แบบนี้ เลือกตั้งใหญ่รอบหน้าเตรียมตัวถวายพานยกอำนาจรัฐคืน “เครือข่ายคนแดนไกล” ได้เลย ยิ่งถ้าลุงตู่เกิดจับพลัดจับผลูเบื่อแก๊งค์คนพวกนี้แล้วบอก “ผมเหนื่อยใจคน ผมพอหละ” ขึ้นมาหละก้อนะ ล้านทั้งล้านยกอำนาจบริหารราชการแผ่นดินคืนไปเลย วุ่นวายอีกเยอะวนลูปเดิมๆ แน่นอน แค่นี้ความเป็นหนึ่งเดียวที่พร้อมใจกันเลือกลุงตู่เมื่อคราวที่แล้วก็แทบจะหมดไปหมดแล้ว เหตุเพราะ สส.เหิมเกริมบ้าพลังและคนมีอำนาจในพรรคตัวเองนี่แหละ
ถ้าไม่สำนึกตัวและแก้ไขเสียก่อนก็จบแน่นอน อันที่จริงก็เข้าใจแหละว่าในวงการการเมืองไม่มีอะไรที่ขาวหรือดำแบบสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ขอสีเทาอ่อนให้ประชาชนได้จำใจเลือกได้บ้างเถอะ ถ้าสีเทาเข้มเกือบดำอันนี้ก็ไม่ไหว คงต้องจากลากันเพียงเท่านี้เช่นกัน เพราะหากเป็นเช่นนั้น กี่ลุงก็คงช่วยไม่ได้เหมือนเลือกตั้งครั้งก่อนแล้วหละ แล้วมันจะเหลือทางเลือกอะไรให้เราบ้าง
มองมาที่พรรคใหม่ๆ หลายพรรคที่เพิ่งตั้งกันมา ก็รวมเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น บางคนก็ออกจากพรรคเก่ามาตั้งพรรคใหม่แต่ก็ยัง “ทานอุดมการณ์แทนข้าว” อยู่เหมือนเดิม ไล่เรียงดูพรรคใหม่กี่พรรคต่อกี่พรรคก็แทบกุมขมับ แต่ก็ยังพอมีเวลาพอสมควรกว่าจะเลือกตั้งใหม่ ก็ได้แต่หวังว่าลุงตู่จะสร้างอภินิหารเติมสีขาวเข้าพรรคให้กลายเป็นสีเทาอ่อนลงได้บ้าง
แต่ถ้าไม่ได้จริงส่วนตัวคงต้องเลิกจำใจเลือกแล้วหันมาหาแสงสว่างปลายอุโมงค์ดั่งเช่นจั๊กจั่นที่บินอยู่ในความมืดมิดอันกว้างใหญ่เสียที ซึ่งอันที่จริงสำหรับผมมีพรรคที่แอบเชียร์อยู่ห่างๆ อยู่พรรคนึง เป็นพรรคที่รวบรวมคนดี รวบรวมคนที่จงรักภักดี และมีความต้องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยใจจริงอยู่พรรคนึง เป็นพรรคที่คอยให้ข้อมูลที่ถูกต้องของสถาบันเมื่อยามถูก Fake News เข้ารุกราน
กระทั่งคอยเรียกร้องเรื่องต่างๆ ในสังคมเวลาที่เกิดความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น ผมเองก็ไปเข้าร่วมกิจกรรมลงชื่อเรียกร้องต่างๆ ทางออนไลน์กับทางกลุ่มนี้พรรคนี้อยู่หลายหนแล้ว ซึ่งผมคิดว่าดีมากๆ สำหรับการตั้งพรรคของคนกลุ่มนี้ แต่อย่างว่าการชูเรื่องการปกป้องสถาบันก็มีความเปราะบางแม้จะเจตนาดีก็ตามเพราะมันค่อนข้างหมิ่นเหม่กับการ “ปกป้อง” หรือ “ดึงสถาบันลงมานำหน้า” แบบไม่ตั้งใจ แต่ถ้าจะมีสักพรรคที่ออกมาชูเรื่องการปกป้องสถาบันก็ดี และรู้สึกขอบคุณเพราะยุคนี้มีคนออกมาโจมตีสถาบันแบบผิดๆ เยอะมาก ซึ่งอันที่จริงการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว
อยากให้พรรคที่มีความจงรักภักดีเหล่านี้ไม่ว่าพรรคไหนให้ชูเรื่องนี้ให้ชัดเจนไปเลยว่าพรรคจะ “ไม่ยกเลิกมาตรา 112” และจะ “สนับสนุนให้ผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด” กับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับสถาบัน (ซึ่งเยอะมากช่วงนี้) หรือการที่จะ “ปกป้องกฎหมายมาตราที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกมาตราจากสภา” อย่างถึงที่สุดและจะไม่ยอมให้ใครหรือพรรคไหนมาลักไก่ยกเลิกในสภาได้เป็นอันขาด หรือกระทั่งการจะจริงจังในเรื่อง “การประชาสัมพันธ์ในเรื่องที่ถูกต้องเพื่อลบล้าง Fake News เกี่ยวกับสถาบัน” ซึ่งเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในช่วงนี้ ซึ่งหากไม่ชัดเจนในการชูเรื่องเหล่านี้ ผมเกรงว่าคนที่ไม่เห็นด้วยหรือคนที่มีมุมมองทางการเมืองคนละฝั่ง อาจใช้จุดนี้มาโจมตีว่าเป็นพรรค “โหนเจ้า” เอาได้ง่ายๆ ซึ่งในความเป็นจริงบางพรรคอาจจะชูจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้วก็ได้ แต่ที่เขียนก็เพราะรักจึงอยากบอกต่อเท่านั้นเอง จะได้ชัดเจนกันไปเลยว่าที่จะ “ปกป้อง” นั้น “ปกป้องยังไง” คนอื่นจะได้มาโจมตีมิได้เช่นนั้นเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่จงรักภักดีไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นคนดีในเรื่องอื่นๆ ด้วย ดังเช่นสุภาษิตที่ว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ก็ต้องดูกันต่อไปว่า “ความเชื่อในความเป็นคนดี” ของกลุ่มบุคคลที่กล่าวมานั้น จะกลายเป็น “ความจริง” ได้กี่มากน้อย “เวลา” จะตอบทุกอย่างเองว่า “คนดี” ทั้งหลายท่านเหล่านี้เป็น “ทองแท้” หรือ “ทองปลอม” และประชาชนอย่างผม จะได้ไม่ต้อง “อกหัก” จากการเลือกตั้งอีกต่อไป
เพราะ “ผลลัพธ์จะตอบทุกอย่าง” ด้วยตัวเอง
ม.ล. พิทยากรณ์ รัชนี