วันที่ 23 ม.ค. 65 ที่อาคารอนาคตใหม่ ซอยหัวหมาก12 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. พรรคก้าวไกลแถลงข่าวเปิดตัวแคนดิเดทผู้ว่าฯกทม. โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและตีออกเป็น 2 ทาง คือ คณะก้าวหน้า 1 เส้นทาง และพรรคก้าวไกล 1 เส้นทาง แต่ก็ยังคงผลัดกันในการทำงานท้องถิ่น คณะก้าวหน้าก็ดำเนินการในเรื่องของอบต. อบจ.เทศบาล หรือการเมืองท้องถิ่น และพรรคก้าวไกลก็ดำเนินการต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนในรัฐสภา ซึ่งการพัฒนาการเมืองท้องถิ่นจะต้องเริ่มที่กทม. ถึงเวลาแล้วที่คนกทม.จะต้องเลือกผู้ว่าฯกทม.จริงๆเสียที เพราะที่ผ่านมาผู้ว่าฯกทม.แต่ละคนไม่ได้มีการทำงานหรือการแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนอย่างชัดเจน
นายพิธา กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 7-8 ปีที่ผ่านมาคนกทม. ไม่สามารถเลือกผู้ว่าฯกทม.เป็นของตนเองได้ แต่ในปีนี้เป็นปีที่แสนวิเศษ ดังนั้นแคนดิเดทผู้ว่าฯกทม.ของพรรคก้าวไกล จะต้องเป็นบุคคลที่พิเศษ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นซุปเปอร์แมน หรือยอดมนุษย์ หรือบุคคลที่มีเกียรตินิยมมากมาย แต่เป็นบุคคลที่สามารถทำให้ตนเชื่อมั่นได้เต็มหัวใจ และพร้อมที่จะประสานงานกับทุกภาคส่วน รวมทั้งพร้อมชนกับทุกหน่วยงานโดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนในกทม.เป็นตัวตั้ง ซึ่งตนใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปีในการพูดคุยและเป็นหาบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นผู้ว่าของพรรคก้าวไกล แต่ก็ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับก้าวไกลมากที่สุด กระทั่งได้พบกับนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่จะลงชิงผู้ว่าฯกทม. ในนามพรรคก้าวไกล
ด้านนายวิโรจน์ กล่าวว่า ถึงเวลาเลือกผู้ว่าฯกทม. ที่พร้อมชนเพื่อคนกทม. เหตุที่ใช้คำว่า “ชน” นั้น ตนมองว่าการประสานงานกันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทางเดียวคือชนและกำจัดทิ้ง เนื่องจาก “ส่วนกทม.” นั้นเป็นสิ่งมีอยู่จริง ซึ่งเปรียบเสมือปรสิตเซาะกร่อนอนาคตของคนกทม. ถ้าขจัดทิ้งได้ภาพรวมของกทม.ก็จะดีขึ้นอย่างไม่มีปัญหา เพราะส่วยกรุงเทพฯ เอารัดเอาเปรียบตั้งแต่พ่อค้าแม่ขายจนถึงผู้ประกอบการ รวมถึงเงินใต้โต๊ะและค่าน้ำชา ซึ่งมีจำนวนตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสน โดยมีการประเมินกันว่าขั้นต่ำคิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท หรือสูงสุดอาจแตะ 5 หมื่นล้านบาท ต่อปี เมื่อเทียบกับงบประมาณประจำปีของกทม. คือ 1 แสนล้านบาท นั่นหมายความว่าคนกทม.มีสัดส่วนถึงร้อยละ 15 ของงบประมาณประจำปีที่กทม.ได้รับ ตนยืนยันว่าในภาวะการณ์ที่ค่าครองชีพสูงขึ้น ไม่มีเหตุจำเป็นอันใดที่คนกทม.ต้องจ่ายเงินเหล่านี้ให้แก่ผู้ใดต่อไปอีก
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ตนมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกับข้าราชการ เพราะข้าราชการที่ดีมีมากกว่าร้อยละ 90 ล้วนต้องการทำงานกับผู้ว่าฯที่ตรงไปตรงมาและพร้อมให้พื้นที่กับข้าราชการที่ดีมีโอกาสเติบโต นอกจากนี้การบริหารวิกฤตโควิดที่ผ่านมาเป็นการสะท้อนว่ากทม. ไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากรทางการแพทย์ ทั้งองค์บุคคลและอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทว่าสิ่งที่ขาดคือระบบสาธารณสุขที่มีเสถียรภาพ ไม่ว่าจะเป็นระบบหาเตียงและจัดส่งผู้ป่วยของโรงพยาบาลในหลายสังกัดที่ไม่บูรณาการกัน อาทิ โครงการ “ไทยร่วมใจ” ซึ่งเบื้องต้นมีการวางระบบการจัดการไว้เสียดิบดี แต่สุดท้ายกลับมีวัคซีนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ไม่พูดถึงประชากรจำนวนมากพากันไปนอนรอข้างกำแพงวัดและฟุตปาธเพียงเพื่อรอตรวจโควิดโดยรัฐ ซ้ำยังมีอีกไม่น้อยที่ต้องเผชิญความตายทั้งที่ไม่สมควรจะเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ในกรณีที่ตนได้เป็นผู้ว่าฯในอนาคตว่า กทม.อาจไม่ได้เป็นเมืองอันดับหนึ่งหรือติดระดับโลก แต่กทม. ต้องเป็นเมืองที่คนกทม.อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ถึงพร้อมด้วยสวัสดิการขั้นพื้นฐาน หากมีเหตุให้ล้มก็ต้องไม่พากันล้มระเนระนาดกันทั้งบาง โดยนับตั้งแต่ตนเข้าร่วมพรรคอนาคตใหม่ จนบัดนี้ในนามพรรคก้าวไกล ตนเชื่อมาตลอดว่า ทุกคนสามารถลงมือทำให้สังคมของเรานั้นน่าอยู่ขึ้นได้ และสามารถส่งผ่านอนาคตที่ดีให้แก่ลูกหลานของเราได้ ตนรับประกันในความพร้อมที่จะชนกับทุกปัญหาและแก้ไขอย่างตรงไปตรงมาโดยเอาผลประโยชน์ของคนกทม.เป็นที่ตั้ง ตลอดจนนำพาผู้คน ซึ่งมีความแตกต่างทางความคิดเดินหน้าไปพร้อมๆกัน
เมื่อถามว่าในการตัดสินใจเป็นแคนดิเดทผู้ว่าฯกทม. ของพรรคก้าวไกลได้อย่างไร และอนาคตทางการเมืองการเป็นส.ส.จะเป็นอย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนทำงานในกทม.มาโดยตลอดและอยู่ในทีมนโยบาย ซึ่งวางนโยบายและวิธีการทำงานผู้ว่าฯกทม.มาโดยตลอด และพยายามค้นหาบุคคลที่เหมาะสม จนกรรมการบริหารพรรคเรียกตนเข้าไปคุยว่าพร้อมหรือไม่ที่จะลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ซึ่งในอนาคตข้างหน้า ตนมองว่าตนก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนนโยบายของพรรคก้าวไกล พูดง่ายๆว่าตนอยู่ในกระบวนการนี้มาตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนอนาคตทางการเมืองของตนนั้น ต้องขอขอบคุณที่หลายๆท่านที่เสียดายตน เดิมทีตั้งแต่การเลือกตั้งปี62 ยังไม่มีใครรู้จักตนเลย ซึ่งตนใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองกว่า 3 ปี และวันนี้ประชาชนทุกคนรู้สึกเสียดาย ตนจึงรู้สึกว่าประสบผลสำเร็จแล้วตลอดระยะเวลาที่ตนทำงานมาอย่างหนักหน่วงก็ได้พริกออกดอกออกผลเรียบร้อยแล้ว ยอมรับว่างานในสภาก็สำคัญแต่งานที่สำคัญมากที่สุดคือ สนามของกทม. ที่จะพิสูจน์งานบริหารกทม.ว่าจะทำงานนี้ให้ดีที่สุดมากกว่างานในรัฐสภาแน่นอน
เมื่อถามถึงวิธีคิดในการเปลี่ยนแปลงการทำงานกทม. นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความเหมาะสมของบุคคลคนหนึ่ง ทุกๆการเลือกตั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงและมีหลายๆคนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราทิ้งโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ได้และสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คือโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีที่สุด ครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีที่สุดที่คนกทม.จะมีตัวเลือกที่หลากหลายไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่มีแค่แย่และแย่มากกว่าที่จะให้คนกทม.เลือก ครั้งนี้จึงอยากจะนำเสนอคนดีๆคนที่มีนโยบายดีๆเสนอให้คนกทม.ได้เลือก ที่ผ่านมาตนตั้งใจทำงานอย่างดีมาตลอดและเชื่อว่าเจ้านายของตนที่เป็นประชาชนจะเลือกตนให้มาทำงานเพื่อกทม.
เมื่อถามว่ามั่นใจว่าจะได้ชัยชนะได้อย่างไร และนายวิโรจน์มีอะไรที่จะไปแข่งขันกับผู้สมัครคนอื่นๆบ้าง นายพิธา กล่าวว่า จุดแข็งของนายวิโรจน์คือการมีอุดมการณ์มั่นคงและทำงานกับพรรคมานาน รวมทั้งเป็นคนที่เข้าได้กับเยาวชนทุกเพศทุกวัยในพื้นที่กทม. และเชื่อว่าการเป็นตัวตนของนายวิโรจน์และตัวตนของพรรคก้าวไกลจะสามารถซื้อใจคนในกทม.ได้ รวมทั้งความเป็นตัวตนของนายวิโรจน์จะตอบโจทย์คนกทม.อย่างแน่นอน
ด้านนายวิโรจน์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าตนแข่งกับใคร เพราะถ้าคิดแบบนั้นก็จะคิดว่าแข่งกับคนนั้นคนนี้เต็มไปหมด แต่ข้อเสนอของตนและนโยบายของพรรคต้องการที่จะแข่งเพื่อเอาชนะหัวใจของประชาชน และทำให้ประชาชนยอมเปลี่ยนแปลงและพัฒนาประเทศไปพร้อมกันกับพวกเรา
เมื่อถามว่ามีการการประเมินผลชัยชนะที่หลักสี่-จตุจักร และการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ในเขตหลักสี่-จตุจักรเป็นพื้นที่กลางของกทม.ในเรื่องของความแออัดและปัญหามลพิษปัญหามลพิษ จึงคิดว่าเขตหลักสี่-จตุจักรเป็นพื้นที่ที่มีความคลาสสิคที่สุด และคิดว่าสัปดาห์หน้าจะได้เห็นแคนดิเดทผู้ว่าฯกทม.และแคนดิเดทส.ส.กทม.เดินคู่กัน จะได้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อที่จะให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของแต่ละพื้นที่สามารถเชื่อมโยงกันได้
เมื่อถามว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตัดสินใจเลือกนายวิโรจน์ นายพิธา กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้ตัดสินใจอะไร แต่มีความเห็นตรงกันว่าจะต้องจัดการและสร้างคุณภาพกทม.ให้ได้ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯได้ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ ตอนนี้มีภารกิจสำคัญในงานกรรมาธิการการศึกษา ในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนักเรียนที่กำลังสอบท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายที่ต้องจัดทำเพื่อน้องๆนักเรียนทุกคนและสัญญาว่าจะพยายามทำอย่างเต็มที่และทำเพื่อน้องๆให้เกิดผลอย่างที่สุด ส่วนตัวอยากให้มองปัญหาวันนี้ในความเป็นจริงและตนย้ำเสมอว่าการแก้ปัญหาจะต้องอยู่บนพื้นฐานความจริง เพราะกทม.เป็นอย่างนี้และตนย้ำเสมอว่าผู้ว่าฯกทม.ไม่จำเป็นจะต้องมีเทคนิคล้ำเลิศ ขอเพียงมีความเจ็บจำนงและพร้อมที่จะเป็นพ่อบ้านทำเพื่อประชาชนและเก็บรายละเอียดทุกเม็ดมาเป็นปัญหาของตนเอง รวมทั้งเร่งแก้ไขปัญหาให้เร็วที่สุด อันนี้ไม่ใช่เนกาทีฟแต่เป็นแคมเปญที่สะท้อนงานของผู้ว่าฯให้เป็นจริงมากกว่า
เมื่อถามว่าได้มีการคาดหวังให้กำหนดวันเลือกตั้งเมื่อไหร่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า การเลือกตั้งจะต้องถามทางรัฐบาล แต่ตนมีความพร้อมเสมอและตลอดเวลา รวมทั้งที่เปิดตัวในวันนี้ตนได้เตรียมตัวมาเป็นปี
นายพิธา ระบุเพิ่มเติมว่า ต่อไปเราจะต้องเห็นการทำงานแบบไร้รอยต่อให้กับคนกทม.ได้
เมื่อถามว่าพร้อมที่จะสู้ทุกปัญหาหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนขอย้ำว่าตนพร้อมที่จะทำงานกับข้าราชการที่ดีที่มีมากกว่า 90% ที่รอทำงานกับผู้ว่าฯกทม.ที่ตรงไปตรงมา และพวกเขาจะมีที่ยืนและทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี รวมทั้งตนจะบอกกับข้าราชการทุกคนว่า”ข้าราชการคนไหนที่โกงจะไม่โต”
เมื่อถามว่าเมื่อเปิดตัวเป็นแคนดิเดทพร้อมทำงานเต็มที่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตนพร้อมที่จะทำงานทันที และดูในวันพรุ่งนี้ ตนจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบปัญหาทางม้าลายที่ไม่ปลอดภัยและค้นหาว่าเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่