นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยกับทีมข่าว ท็อปนิวส์ ถึงความเป็นมาของตนเองในอดีต เกี่ยวกับผู้เป็นพ่อแท้ๆ ซึ่งเคยไปขายแรงงานอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย กระทั่งวันนี้ ตนเองได้เดินทางไปเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย ในฐานะ หนึ่งในผู้นำระดับสูงของประเทศไทย พร้อมระบุว่า…
“ก่อนหน้านี้หลายคนคงทราบประวัติปูมหลังแล้วว่า บ้านผมค่อนข้างยากจนมาก ทำให้พ่อ ต้องตัดสินใจไปขายแรงงานที่ซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี พ.ศ.2528 ซึ่งขณะนั้นผมมีอายุเพียง 11 ขวบ และพ่อก็ได้ส่งเงินกลับประเทศทางโทรเลขมาให้แม่ทุกๆเดือน ในครั้งนั้น พ่อผมไปเป็นคนงานก่อสร้างสนามกีฬานานาชาติ King Fahd และเงินจากการขายแรงงานในซาอุดีอาระเบียของพ่อ ทำให้ผมได้มีกินมีใช้ นำไปใช้จ่ายค่าเล่าเรียนจนจบการศึกษา นั้นถือว่า ครอบครัวของผมเป็นหนี้บุญคุณของประเทศซาอุดีอาระเบีย”
กระทั่งในวันนี้ ปี พ.ศ.2565 เป็นเวลา 37 ปีผ่านไป ผมเองได้เดินทางไปเยือนประเทศแห่งนี้ และเป็นคณะทำงานติดตามท่าน นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ผมได้ตระเตรียมภาพถ่ายเก่าๆ ระหว่างที่คุณพ่อ ได้ทำงานอยู่ที่นั้นมาให้ รมว.ทรัพยากรบุคคล หรือ รมว.แรงงาน ของประเทศซาอุดีอาระเบีย และทุกๆคนที่อยู่ในที่ประชุม ได้ชม ซึ่งผมได้กล่าวขอบคุณและรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก และเมื่อทุกคนได้เห็นภาพทั้งหมด ก็พากันรู้สึกเซอร์ไพรส์ และแสดงความชื่นชมยินดีกับตัวผม ที่ก้าวมาสู่ความสำเร็จเป็น รมว. แรงงาน ของประเทศไทย ส่วนนึงมาจากเงินรายได้ ค่าแรง ที่คุณพ่อผม ได้มาทำงานที่ซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ยังได้ออกปากเชิญพ่อของผม มาเป็นแขกคนสำคัญ ของ รมว. ทรัพยากรบุคคล หรือ รมว. แรงงาน ซาอุดีอาระเบีย หรือถ้าท่าน รมว. ได้มาเยือนเมืองไทยก็ขอไปพบพูดคุยกับพ่อของผม
นอกจากนี้ ผมยังได้รับความชื่นชมจากคณะทำงานของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย และผู้นำระดับสูง ถึงการบริหารด้านแรงงานในประเทศไทยในช่วงวิกฤติ โควิด -19 ที่ผ่านมา ว่าสามารถทำได้ดีมาก และรู้สึกประทับใจ ที่รัฐบาลไทย โดยท่านนายกรัฐมนตรี เลือกผม ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแรงงานไทยโดยแท้ มานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีแรงงาน
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกทุกท่านว่า วันที่ 25 มกราคม 2565 ถือเป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สามารถฟื้นความสัมพันธ์ 32 ปี ไทยซาอุดีอาระเบียได้สำเร็จ และแน่นอนว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน