วันที่ 5 มิ.ย. – นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ก่อนหน้านี้ลงสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติและเคลื่อนไหวทางคดีอยู่ฝั่งพรรคเพื่อไทย เปิดใจกับ Top News ถึงกรณีมีรายชื่อเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ในสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ว่า ส่วนตัวสนิทสนมและรู้จักกับ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายรัฐบาล หรือ วิปรัฐบาล และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ คุ้นเคยกันมานานตั้งแต่สมัยอยู่พรรคไทยรักไทยด้วยกัน ซึ่งก็เคยร้องเรียนให้ตรวจสอบนายวิรัช มาหลายรอบเช่นกัน ซึ่งนายวิรัชก็ได้ชักชวนมาช่วยงานและสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ถูกทาบทามชวนมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจ แค่เดือนก่อนได้ยื่นเอกสารสมัครไปไว้เพราะมองว่าไม่ได้เสียหายอะไร
ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ทราบว่าจะได้นั่งในกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ในฝั่งของพรรคพลังประชารัฐ เพราะไม่อยากคาดหวังอะไรมากเกรงจะผิดหวังเหมือนกรรมาธิการงบประมาณ 2564 ที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยถอดชื่อออกนาทีสุดท้าย เมื่อตั้งความหวังมากก็รู้สึกผิดหวังมาก
นายเรืองไกร กล่าวยืนยันว่า ไม่ได้วิ่งเต้นเพื่อขอตำแหน่ง ไม่ได้หวังในตำแหน่ง เพราะก่อนหน้านี้ได้อยู่ในคณะทำงานของพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ก็เคยขอคืนตำแหน่งไปแล้ว ให้คนที่เขาอยากได้ไป ไม่ได้หวังที่จะมีลาภยศ ชื่อเสียง เพราะส่วนตัวทำงานเพื่อส่วนรวมยึดประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อน ไม่ได้ต้องการผลประโยชน์จากใคร ครั้งนี้เมื่อถูกเลือกให้อยู่ในกรรมาธิการงบประมาณของฝั่งพลังประชารัฐ ก็วางใจตนเองไว้ว่าในเวลา 3 เดือนของกรรมาธิการ ตนจะทำงานอย่างเต็มที่
นายเรืองไกร ระบุว่า ในการสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐนั้น ใครจะมองอย่างไรก็ตาม จะเรียกว่าย้ายค่าย ย้ายฝั่งก็ไม่แปลกใจ เปรียบเหมือน นักฟุตบอลย้ายสโมสร แล้วจะไปด่าคนที่ย้ายสโมสรได้อย่างไร ใจคับแคบหรือเปล่า เหมือนมีอคติใครไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรและไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปนั่งอธิบาย
“เหมือนนักฟุตบอล ที่ทีมบอกว่าเป็นผู้เล่นมือดี แต่กลับแช่ไว้ เป็นตัวสำรองก็ยังไม่เคยให้ เมื่อวันนึงมีคนมาบอกมาชวนลงเตะให้หน่อย เราก็เตะยืนยันว่ามารยาทวิชาชีพเรามี มารยาทในการกีฬาเรามี แต่ไม่ใช่มาด่ากันว่า คุณไปอยู่โน่นคุณขายตัวหรือเปล่า กินกล้วยเป็นเครือไหม ขอบอกว่าไม่จำเป็น ถ้ามาชวนแบบนั้นผมไม่เอาด้วย เพราะถ้าไปติดหนี้บุญคุณ ผมก็ไม่มีอิสระ อยู่ดีๆเอาปลอกคอมาใส่คอตัวเองเหรอ แล้วคุณจะมีปัญญามาเลี้ยงดูผมเพียงพอเหรอ และผมไม่ใช่คนที่ต้องไปอาศัยคนอื่น ไปอาศัยแสงคนอื่นไม่จำเป็น ผมพร้อมที่จะปะ ฉะ ดะ ได้ตลอด ถ้ามันถูกต้อง และถ้ามีช่องทางที่จะร้อง แต่จะไม่เป็นผู้ยืนยันกล่าวหาใครโดยเป็นผู้ตัดสิน และอะไรที่เป็นงานส่วนรวม ผมจะทวง”
นายเรืองไกร ยังย้ำว่า แม้จะอยู่ในฝั่งพลังประชารัฐ แต่หากนายกรัฐมนตรีหรือคนของฝั่งรัฐบาล ทำไม่ถูกต้อง ก็พร้อมที่จะยื่นร้องตรวจสอบ รวมไปถึฝ่ายค้านด้วย ยืนยันว่าจะยังคงทำงานในแนวทางของตัวเองเหมือนเดิม คือยึดความถูกต้องเป็นหลัก