วันที่ 2 มี.ค. 2565 พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับ พล.ต.ต.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกันจับกุมนายเอ (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี ที่อยู่ตามบัตร เป็นชาว ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จ.ตาก ผู้ถูกจับกุมที่ 1 และเยาวชนอายุ 15 ปี ที่อยู่ตามบัตรเป็นชาว ต.จีนแดก อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้ที่ร้านแห่งหนึ่ง ใน ซอยรีโมท ต.ในเมือง อ.เมืองสุรินทร์ จ.สุรินทร์ หลังตำรวจวางแผนให้ทั้งสอง มารับโทรศัพท์ที่ขโมยมา แล้วเอาไปแก้อีมี่เครื่อง และรวบได้ทั้งสองคน
ได้ของกลาง 10 รายการ มีโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้ออ็อฟโป้ 1 เครื่อง ,โทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 1 เครื่อง ,รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอ สีเทาดำ หมายเลขทะเบียน 1 กข 5808 สุรินทร์ ,เงินธนบัตรรัฐบาลไทย ฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 4 ฉบับ เป็นเงิน 4,000 บาท ,เงินเหรียญรัฐบาลไทย คละเหรียญ 1 บาท 5 บาท และ 10 บาท เป็นเงิน 347 บาท,โน้ตบุ้ค ยี่ห้อ MacBook Pro สีบรอนท์เทา จำนวน 1 เครื่อง พร้อมกระเป๋าใส่สีเทา ,โทรศัพท์มือถือยี่ห้อHUAWEI สีน้ำเงิน จำนวน 1 เครื่อง ,รถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ สีน้ำตาล ทะเบียน 1 กช 1426 สุรินทร์ ,รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 110 ไอ สีแดง ทะเบียน 1 กข 2629 สุรินทร์ และหมวกกันน๊อกเต็มใบ สีดำ
ทั้งนี้สืบเนื่องจากตั้งแต่วันที่ 21-27 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งสองได้เข้างัดหน้าต่างศาลาการเปรียญ วัดหนองปรือ ต.สวายจีก อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ รวม 3 ครั้งติดต่อกัน ก่อนตำรวจจะสืบสวนในเชิงลึก กระทั่งพบว่าคนร้ายกลุ่มนี้ มีด้วยกัน 2 คน มักจะเอาโทรศัพท์ที่ขโมยมาได้ ไปให้ร้านโทรศัพท์ที่ จ.สุรินทร์ แก้อีมี่เครื่องให้ แล้วเอาไปขายต่อ จึงได้ร่วมมือกับร้านโทรศัพท์ ให้มารับโทรศัพท์ที่เอามาซ่อม ก่อนเข้าจับกุม
ทั้งสองให้การรับสารภาพว่า ได้ออกตระเวนไปตามวัดต่างๆในเขตพื้นที่ จ.สุรินทร์ แล้วงัดเข้าไปขโมยทรัพย์สินมีค่าภายในวัด ก่อเหตุมาทั้งจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ จนนับวัดไม่ได้ โดยจะพุ่งเป้าไปที่วัดอย่างเดียว ไม่งัดบ้านเรือนชาวบ้าน เพราะวัดเข้าง่ายและมีทรัพย์สินมากกว่า
จากการตรวจสอบของตำรวจ พบว่านายเอ (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี มีหมายจับที่จังหวัดสุรินทร์ ในข้อหาลักทรัพย์ จำนวน 4 หมายจับ โดยนายเอจะเป็นคนลงมืองัดเข้าไปขโมยทรัพย์สิน โดยมีเยาวชนที่มาด้วย นั่งเป็นต้นทางให้ เบื้องต้นตำรวจตั้งข้อหาทั้งสองมีความผิดฐาน“ร่วมกันลักทรัพย์,ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในสถานที่บูชาสาธารณะ โดยใช้ยานพาหนะ หรือรับของโจร”
ภาพ/ข่าว เรืองรุจ วังแจ่ม ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.บุรีรัมย์