ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ 4 มี.ค. 65 เวลา 13.30 น. ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ผู้ร้อง ยื่นฟ้องบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ถูกร้อง กรณีกระทรวงคมนาคมอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องขอรื้อฟื้นคดีใหม่ไว้พิจารณา ในวันที่ 4 มี.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
โดยคดีนี้ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ยกคำร้องของกระทรวงคมนาคมและรฟท. และให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องจึงมีหนังสือลงวันที่ 18ก.ค.62 กรกฎาคมขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้พิจารณา
กระทรวงคมนาคม และ รฟท.จึงยื่นคำร้องอุทธรณ์ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น แต่ต่อมา กระทรวงคมนาคม และ รฟท. มีหนังสือลงวันที่ 14 มิ.ย. 64 ขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่และของดการบังคับคดี ศาลปกครองชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2564 กรณีมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 45 ที่กระทรวงคมนาคม และ รฟท.อ้างว่า เป็นการออกระเบียบโดยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีดังกล่าว เป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขั้นตอนการออกระเบียบของศาลปกครองดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น และเมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏอีกว่า ที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดในคราวประชุมดังกล่าวมีมติในประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องระยะเวลาการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองโดยตรงในคดี อันเป็นเงื่อนไขในการฟ้องคดี การวินิจฉัยว่าคณะอนุญาโตตุลาการรับข้อพิพาทไว้พิจารณาและมีคำวินิจฉัยชี้ขาดนั้น ขัดต่อบทกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ อันเป็นการวินิจฉัยในส่วนของเนื้อหาคดี ดังนั้น วัตถุแห่งคดีและข้อกฎหมายอันเป็นการก่อตั้งข้อพิพาทแห่งคดีนี้ จึงแตกต่างไปจากคดีตามมติที่ประชุมใหญ่พิพาท อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า การพิจารณาพิพากษาของตุลาการในศาลปกครองสูงสุดตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินกล่าวอ้างในคดีระหว่างกระทรวงคมนาคม และ รฟท.กับบริษัท โฮปเวลล์ เป็นการกระทำทางตุลาการ อันแสดงให้เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่มีผลผูกพันศาลในคดีนี้ รวมทั้งถือได้ว่าคดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ดังนั้น จึงไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว ตามมาตรา 212 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเพียงการชี้ขาดสถานะทางกฎหมายของมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 18/2545 เท่านั้น จึงไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมายที่ศาลปกครองสูงสุดใช้ในการวินิจฉัยตีความในคดีดังกล่าว จึงไม่มีผลผูกพันคดีที่กระทรวงคมนาคมและรฟท.ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่คดีนี้