“สว.คำนูณ” ยกคดี “แตงโม” ลุยปฏิรูปตำรวจให้อัยการร่วมสอบสวน

สว.คำนูณ ยกคดีแตงโมลุยปฏิรูปตำรวจให้อัยการร่วมสอบสวน แนะนายกฯ เป็นหัวรถจักรนำขบวนปฏิรูปด้านอื่นๆด้วย สร้างคุณค่าให้อยู่จนครบวาระ

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก Kamnoon Sidhisamarn ข้อความว่า คดีแตงโม ย้อนเปิดร่างกฎหมายให้อัยการร่วมสอบสวนที่ถูกทำแท้ง ! การที่ผู้คนทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงและไม่เกี่ยวข้องออกมาตั้งข้อสังเกตและข้อสงสัยในคดีการเสียชีวิตของคุณแตงโมมาก รวมทั้งร้องไปที่คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา เป็นอีกรูปธรรมหนึ่งที่สะท้อนความไม่เชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ โดยเฉพาะในคดีที่ผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยมีเงินทองและเครือข่ายอิทธิพลในระบบอุปถัมภ์ ถึงต้องมีการปฏิรูปตำรวจไงครับ

โดยเฉพาะปฏิรูประบบการสอบสวนในชั้นตำรวจ ซึ่งสำคัญมาก เพราะเป็นต้นสายธารของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา สมควรให้ตำรวจทำงานเพียงลำพังหน่วยเดียวเหมือนเดิม หรือให้หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมทำงานด้วยตั้งแต่ต้นในคดีที่มีความสำคัญ ตรงไปตรงมาก็คือควรให้อัยการเข้ามาร่วมสอบสวนด้วยตั้งแต่ต้นมั้ย แทนที่จะให้นั่งรอสำนวนสอบสวนจากตำรวจเพื่อยื่นฟ้องหรือไม่สถานเดียว ซึ่งมีจุดอ่อน เพราะถ้าเห็นสำนวนไม่สมบูรณ์ แม้สั่งสอบสวนเพิ่มเติมได้ก็จริง แต่เวลาอาจไม่ทันตามกำหนดที่กฎหมายบังคับไว้ หรือพยานหลักฐานอาจไม่ครบถ้วนเหมือนช่วงเหตุการณ์เกิดขึ้นหมาด ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องเก่าที่พูดกันมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว

รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 258 ง. (2) บัญญัติไว้ว่า “ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม” ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการให้อัยการเข้ามาร่วมสอบสวนในคดีสำคัญเสร็จออกมาจากชั้นกฤษฎีกาตั้งแต่ปลายปี 2561 ตีอต้นปี 2562 แล้ว “ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. ….” เป็นกฎหมายปฏิรูปในลักษณะที่เรียกได้ว่าเป็นกฎหมายคู่กับร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. … แต่รัฐบาลไม่ส่งเข้ารัฐสภา เพราะตำรวจคัดค้าน ในขณะที่คู่ของเขาคือร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. … ถูกส่งเข้าสภาแล้วก็จริง แต่ก็ถูกแก้ไขในประเด็นสำคัญโดยตำรวจเสียไม่น้อย แล้วยังมาถูกแก้ไขในชั้นกรรมาธิการของรัฐสภาอีกพอสมควร จะอ้างว่าไม่ควรทำเป็นกฎหมายเฉพาะควรแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาทีเดียวเลยดีกว่า ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะรัฐบาลไม่แถลงออกมาให้ชัดเจน แล้วทีกรณีกฎหมายฉีดจู๋ฝ่อ หรือชื่อจริงเขาคือร่างพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. …. ล่ะ นั่นก็ใช้รูปแบบตราเป็นกฎหมายเฉพาะเหมือนกัน แถมเร่งรัดเป็นพิเศษอีกด้วย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

มาย้อนดูรายละเอียดโดยสังเขปของร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญาที่เปิดโอกาสให้อัยการเข้ามาร่วมสอบสวนในคดีสำคัญกันสักหน่อยดีไหมครับ
ร่างพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีอาญา พ.ศ. … กำหนดให้อัยการเข้ามาร่วมในกระบวนการสอบสวนของตำรวจได้ตั้งแต่ต้นในคดี…

– คดีความผิดอาญาที่มีอัตราโทษขั้นต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป หรือโทษสถานหนักกว่านั้น

– คดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
– คดีอื่น ๆ ตามที่อัยการสูงสุดกับผบ.ตร.ร่วมกันกำหนด

ในคดีเหล่านี้ กำหนดขั้นตอนให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้พนักงานอัยการที่มีเขตอำนาจได้ทราบทันทีหลังจากแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบแล้ว เมื่อได้รับแจ้งแล้ว ให้พนักงานอัยการมีอำนาจไปเข้าร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวน ณ ที่ทำการของพนักงานสอบสวน หรือขอให้พนักงานนอบสวนแจ้งความคืบหน้าในการสอบสวนให้ทราบเป็นระยะ หรือขอให้ตรวจสอบพยานหลักฐานหรือประเด็นใดเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะ การกำหนดให้พนักงานอัยการ ‘…ไปเข้าร่วมการสอบสวน ณ ที่ทำการของพนักงานสอบสวน’ ก็เพื่อความชัดเจนและไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือพยาน หากจะต้องพบพนักงานอัยการ

ในการสอบสวนร่วมกันดังกล่าว หรือในกรณีที่พนักงานสอบสวนเห็นว่าควรได้รับคำปรึกษาแนะนำจากพนักงานอัยการ เมื่อพนักงานอัยการเห็นสมควร ให้พนักงานอัยการปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับพนักงานสอบสวนเพื่อให้คำแนะนำหรือตรวจสอบพยานหลักฐานตั้งแต่ชั้นเริ่มต้นการสอบสวน โดยให้พนักงาน สอบสวนปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานอัยการในเรื่องที่เกี่ยวกับการสอบสวนคดีนั้น ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่อัยการสูงสุดและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติร่วมกันกำหนด ในระหว่างที่ยังมิได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการไปตามที่พนักงานอัยการแจ้งให้ทราบเป็นเรื่อง ๆ ไป

ทั้งนี้ ในการแจ้งหรือติดต่อประสานงานกันทั้งหมดตามกระบวนการใหม่นี้ จะแจ้งหรือติดต่อกันทางอิเลคทรอนิคส์ก็ได้ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว น่าเสียดาย ร่างกฎหมายฉบับนี้เสมือนถูกทำแท้งเสียก่อนโดยรัฐบาล เสมือนถูกทำแท้งโดยไม่ยอมส่งเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในฐานะร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศตามหน้าที่ ถามว่ายังพอจะฟื้นคืนชีพได้มั้ย ในทางทฤษฎีแล้ว – ฟื้นได้ ถ้ารัฐบาลเห็นเป็นเรื่องสำคัญ รีบส่งเข้ารัฐสภา หรือใช้วิธีการอื่น

 

สำหรับผม เห็นในภาพรวมว่าหากรัฐบาลตัดสินใจปฏิรูปประเทศในเรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่ เรื่องที่ส่งผลสะเทือนเสมือนเป็นหัวรถจักรที่จะนำขบวนปฏิรูปด้านอื่นให้เคลื่อนตามไป โดยตัวของรัฐบาล หรือพูดง่าย ๆ ว่าโดยตัวนายกรัฐมนตรีเอง ก็จะเป็นงานยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่สร้างคุณค่าให้ตัวท่านว่าควรคู่กับการอยู่บริหารประเทศจนครบวาระ ประชาชนที่ได้ประโยชน์โดยตรงจับต้องได้จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ท่านสู้กับสภาวะเสียงปริ่มน้ำในสภาผู้แทนราษฎรได้สบาย ๆ แน่ เรื่องร่างกฎหมายให้อัยการเข้ามาร่วมสอบสวนนี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเฉพาะที่เกี่ยวกับการตรากฎหมายเท่านั้น ยังมีร่างกฎหมายปฏิรูปอื่นที่เสมือนถูกทำแท้งไปเงียบ ๆ หรือเรื่องอื่น ๆ ที่ทำได้โดยใช้อำนาจบริหารอีกพอสมควร แต่ในทางปฏิบัติ – ขออนุญาตพูดด้วยความสุภาพว่าไม่คาดหวังครับ

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น