จังหวัดสุรินทร์เตรียมนำร่อง ดันให้โรคโควิด -19 เป็นโรคประจำถิ่น ขณะที่ชาวบ้านหวังจะได้กลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม

สุรินทร์ –เตรียมนำร่องดันให้โรคโควิด -19 เป็นโรคประจำถิ่น 1 เม.ย.นี้ ขณะที่ชาวบ้านฝากถึงรัฐบาลและหน่วยงานเกี่ยวข้องประเมินให้ดี เพราะโควิดโอมิครอน BA.2.2 ที่ข่าวว่ารุนแรงกำลังเข้ามา แต่หากควบคุมได้ส่งผลให้ด่านชายแดนเปิด ก็ยิ่งส่งผลดีต่อชาวบ้านที่ค้าขายชายแดน หลังเงียบเหงามากว่า 2 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่เพจเฟสบุ๊คของ สนง.ประชาสัมพันธ์ จ.สุรินทร์ ได้โพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า เมื่อช่วงบ่ายวานนี้(15 มี.ค.65) นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้มอบหมายให้ นายเสริมศักดิ์ สีสันต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสุรินทร์ครั้งที่ 11/2565 เพื่อติดตามสถานการณ์ โรคติดต่อ และแนวทางการปฏิบัติในการจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึง เห็นชอบมาตรการเตรียมความพร้อม เป็นจังหวัดนำร่อง โรค covid-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยมีมติเห็นชอบให้เริ่มวันที่ 1 เมษายน 2565 ซึ่งจะต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดดังนี้ อัตราผู้ป่วยครองเตียงผู้ป่วยหนักไม่เกินร้อยละ 3 ของผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมด, อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไม่เกินร้อยละ 0.5,ประชาชนทั่วไปฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 ไม่น้อยกว่า 70%,ประชาชนกลุ่ม 608 ได้รับวัคซีนเข็มแรกไม่น้อยกว่า 80%,ทุกหมู่บ้านมีชุดตรวจ ATK ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของประชากรในหมู่บ้าน,หมู่บ้านมีการปลูกสมุนไพรเพื่อดูแลสุขภาพร้อยละ 100,อสม.ต่อประชากรในหมู่บ้านไม่น้อยกว่า 10 ครัวเรือนต่อ 1 คน,ประชาชนสวมแมส 100%, ดำเนินการ D-M-H-T -T 100 % และ 100 % สถานที่ต้องมีมาตรการ องค์กรและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด Covid Free Setting ทั้งนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ อยู่ที่การปฏิบัติและความร่วมมือของประชาชนชาว จ.สุรินทร์ทุกคน ที่จะ ไม่นำโรคสู่ครอบครัว ไม่นำโรคสู่ชุมชน ไม่นำโรคสู่องค์กร

วันนี้ (16 มี.ค. 2565) ผู้สื่อข่าวจึงได้ลงพื้นที่สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ตลาดชายแดนช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ถึงกรณีที่ จ.สุรินทร์จะเตรียมพร้อมให้เป็น จังหวัดนำร่อง โรค covid-19 เป็นโรคประจำถิ่น นั้น โดยต่างยังไม่ขอออกความคิดเห็น เนื่องจากยังไม่รับทราบข้อมูลถึงข้อดีและข้อเสียหากให้โรค covid-19 เป็นโรคประจำถิ่น ซึ่งอย่างไรก็ตาม ประชาชนต่างก็ฝากถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบถึงความพร้อมและผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน อีกทั้งโควิดสายพันธุ์โอมิครอน “BA.2.2″กำลังจะระบาดเข้ามาในประเทศไทย ตามที่เป็นข่าวว่า มีความรุนแรง โดยเฉพาะที่ฮ่องกง ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอีกด้วย แต่ถ้าหากว่าโรคไม่รุนแรงและสามารถควบคุมได้ หลังจากประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น แล้วจะส่งผลให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างปกติและสามารถเปิดด่านชายแดน จุดผ่านแดนถาวรช่องจอมได้อย่างปกติ ก็จะเป็นผลดีต่อการทำมาหากินของประชาชนตามแนวชายแดนด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากมีไวรัสโควิด-19 เข้ามาทำให้ชายแดนปิด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถทำมาค้าขายได้เหมือนเดิม และเงียบเหงามานานกว่า 2 ปีแล้ว

 

ภาพ/ข่าว กฤษดากร กีรติธำรงค์เจริญ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.สุรินทร์

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สถาบันเหล็กฯ ออกแถลงการณ์ โต้ทนาย "ซินเคอหยวน" ยันเครื่องทดสอบเหล็กแม่นยำ ถูกต้องตามมาตรฐานทุกอย่าง
Watt-D แจ้งเตือน ระวัง "มิจฉาชีพ" แอบอ้างเป็นพนักงาน PEA หลอก Add LINE
ทั่วโลกร่วมไว้อาลัยโป๊ปฟรานซิส
“หมอปลาย” ทักแรง! ภาคอีสานระวัง “ภูเขาไฟ” ดับไปแล้ว กำลังจะตื่นอีก
“นาซา” เผยข้อมูลช็อก! แผ่นดินพม่าเคลื่อนตัว 6 เมตร จ่อปรับผังเมืองเนปิดอว์
ผวาชักศึกเข้าไทย! “พม่า KNU” เหิมหนัก โบกธงฉลองในแผ่นดินไทย
ปภ.จับมือ "3 ค่ายมือถือ" ทดสอบส่งข้อความเตือนภัย พ.ค.นี้
"นายกฯ" นำเปิดโครงการ "SML ส่งตรงโอกาสถึงชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน" เน้นผลสำเร็จเริ่มจากยุคไทยรักไทย
เซเว่น อีเลฟเว่น ชวนคนไทยร่วมเปลี่ยนแปลงโลก ในวัน Earth Day 2025 ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ลดการใช้พลังงาน ในธีม“พลังของเรา โลกของเรา”เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
ซีพีจับมือทุกภาคส่วน ปักหมุด ‘เกาะสุกร’ จ.ตรัง ลงนาม MOU สร้างโมเดลต้นแบบจัดการขยะยั่งยืน มุ่งต่อยอดสู่เครือข่ายสิ่งแวดล้อมภาคใต้

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น