เปิดศึกชิงเก้าอี้….”ผู้ว่าฯเสาชิงช้า”

หากนับถอยหลังครั้งสุดท้ายที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 3 มีนาคม 2556 9 ปีเศษแล้วที่ไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ครั้งสุดท้ายที่มีการเลือกตั้งครบทุกเขตก็ต้องย้อนอดีตกลับไปเมื่อ 29 สิงหาคม 2553 หรือ 12 ปีที่แล้ว ที่ตอนนั้นแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 50 เขต แต่มีส.ก. 61 คน เนื่องจากบางเขตมีส.ก. 2 คน อย่างไรก็ตามหลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เข้าควบคุมอำนาจทำการรัฐประหาร เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ได้มีการสั่งโละส.ก.ชุดเก่า และตั้งส.ก.จากการสรรหาชุดใหม่จำนวน 30 คน เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2557 ประกอบด้วย ข้าราชการประจำ 11 คน อดีตข้าราชการ 17 คน และภาคเอกชน 2 คน อาทิ ร.ต.ต. เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ อดีตปลัด กทม. , พล.อ.โกญจนาท จุณณะภาต อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม , ฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ตำแหน่งตอนนั้น) , ธวัชชัย ฟักอังกูร อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย , พล.ต.ท.ธีรศักดิ์ ง่วนบรรจง อดีตผู้บังคับการตำรวจนครบาล เป็นต้น โดยให้ทั้งหมดทำงานจนกว่าจะมีการเลือกตั้งส.ก.ชุดใหม่จึงหมดวาระ

ล่าสุดเมื่อ 1 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งส.ก.ออกเป็น 50 เขต ก่อนที่จะประกาศวันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ส.ก. และ นายกเมืองพัทยา เป็นวันเดียวกันในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 เพราะฉะนั้นในวันดังกล่าวจึงเป็นวันนี้ที่รอคอยของคนกรุงเทพฯอย่างแท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่จะได้เลือก ผู้ว่าฯกทม. (9 ปี) และ ส.ก. (12ปี) แบบครบทุกเขตพร้อมกันไปในทีเดียวกันเลย ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวสำคัญ หลังหนึ่งในแคนดิเดตผู้ว่าฯกทม.ที่เป็นเจ้าของเก้าอี้ในปัจจุบันอย่าง “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งพ่อเมืองกทม. ด้วยเลขเด็ดแบบมีสตอรี่ “555” หลังนั่งทำงานมาครบ 5 ปี 5 เดือน 5 วัน พอดิบพอดี ก่อนประกาศลงสมัครผู้ว่าฯกทม.เพื่อป้องกันแชมป์อีกครั้งในนามอิสระ โดยมีกลุ่มรักษ์กรุงเทพให้การสนับสนุน ที่งานนี้บิ๊กวินมั่นใจมากถึงขั้นเล่นมุกกับนักข่าวก่อนกลับว่า “ผมกลับมาแน่” ที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจว่าจะคัมแบ๊กมาเป็นผู้ว่าฯกทม.อีกครั้งหลัง 22 พฤษภาคม

บวกลบคูณหาร ณ เวลานี้มี “ตัวเก็ง-เต็งหาม” ที่เปิดตัวเปิดชื่อลุ้นชิงผู้ว่าฯเสาชิงช้าแล้ว 5 คน ด้วยกัน ประกอบด้วย “เสี่ยทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ , “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พรรคประชาธิปัตย์ ,วิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล, สกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครอิสระ ,พล.ต.อ.อิศวิน ส่วนอีกหนึ่งตัวเต็งอย่าง “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ธิวารี พรรคไทยสร้างไทย ที่นัดเปิดตัว 30 มีนาคม ถ้านับแค่ 6 คนที่อยู่ในความสนใจของคนกรุงคราวนี้ ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลจะมีคนที่อยู่ในฝากฝั่งตัวเองลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ข้างละ 3 คน โดยฝ่ายที่อยู่ซีกรัฐบาลก็มี 1. พล.ต.อ.อัศวิน ที่นอกจากจะมีกลุ่มรักษ์กรุงเทพหนุนแล้ว เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐก็คงจะเทคะแนนมาให้ด้วย 2. ดร.เอ้ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นคนส่ง และ 3. สกลธี ที่ได้แรงหนุนจากพรรครวมพลังประชาชาติไทยของลุงกำนันและฐานแฟนกกปส. ขณะที่ฝ่ายค้านก็มี 3 คนที่มีสิทธิ์ลุ้นเบียดเป็นผู้ว่าฯกทม. ประกอบด้วย 1.ชัชชาติ อดีตรมว.คมนาคมยุคยิ่งลักษณ์ ที่ปากบอกอิสระแต่มีพรรคเพื่อไทยดุนหลังอยู่ 2.วิโรจน์ ก๊วนล้มเจ้าฝ่าย “ธนาธร-ปิยบุตร” จากพรรคก้าวไกล และ 3. น.ต.ศิธา ลูกรักเจ๊หน่อยจากพรรคไทยสร้างไทย

ย้อนอดีตกลับไปการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 กทม.แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็น 30 เขต มีส.ส.30 คน มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 4,489,223 คน มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 3,255,232 คน คิดเป็น 72.51% บัตรดี 3,102,116 บัตรเสีย 91,452 ไม่ประสงค์ลงคะแนน 61,664 ฝ่ายรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ ได้ 791,821 คะแนน ได้ส.ส. 12 คน ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือได้คะแนนแต่ไม่มีเก้าอี้ส.ส.ติดมือไปเลย ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ 474,836 คะแนน พรรคภูมิใจไทย 43,558 คะแนน พรรครวมพลังประชาชาติไทย 30,979 คะแนน รวมพรรคฝ่ายรัฐบาลได้คะแนนรวมกัน 1,341,194 คะแนน ด้านฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ได้ 604,661 คะแนน ได้ส.ส.ไป 9 คน ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ที่กระแสกำลังมาแรงในตอนนั้นได้ไป 804,217 คะแนน ได้ส.ส.ไป 9 คน รวมพรรคฝ่ายค้านได้คะแนนรวมกัน 1,408,878 คะแนน

อย่างไรก็ตามหากย้อนไปดูการเลือกตั้งผู้ว่าฯเมื่อ 9 ปีก่อน ช่วงปี 2556 คนที่ชนะการเลือกตั้งและได้เป็นผู้ว่าฯกทม.ในตอนนั้นคือ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ป้องกันแชมป์ไว้ได้ โดยกวาดคะแนนทะลุล้านไปได้มากถึง 1,256,349 คะแนน ส่วนรองแชมป์ก็เป็น พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ไป 1,077,899 คะแนน แต่ดูทรงรอบนี้คนจะเป็นผู้ว่าฯกทม. การได้คะแนนถึงล้านคงยากอย่างดีก็แค่หลักแสน เพราะฐานเดียวกันทั้งนั้นแถมลงให้เลือกพร้อมกันตั้ง 6 คน รอบนี้่ใครได้คะแนนเกิน 5 แสนก็มีลุ้นเป็นผู้ว่าฯกทม.นั่งทำงานที่เสาชิงช้ายาวๆไปอีก 4 ปี กกต.เตรียมเปิดรับสมัคร 31 มีนาคม – 4 เมษายนนี้ อายุต้องไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง จบปริญญาตรีขึ้นไป ไม่มีข้อห้ามตามกฎหมาย ไม่เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด

จากวันแรกที่เปิดรับสมัคร ทุกคนมีเวลาอีก 51 วันในการไปหาเสียงก่อนจะถึงวันเลือกตั้งจริง กกต.กำหนดให้ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ใช้งบได้ไม่เกิน 49 ล้านบาทในการหาเสียง จากนี้ก็ต้องตามดูว่าอีกเดือนเศษแต่ละคนจะเร่งผลงานตัวเองเพื่อให้โดนใจคนกรุงอย่างไรและที่สุดใครจะเข้าวิน ฝ่ายรัฐบาลคงต้องลุ้นยาวๆ จากกำลังภายในของรัฐบาลและแรงส่งจากพรรคพลังประชารัฐ โดยมีพล.ต.อ.อัศวินที่หวังใช้เครือข่ายในมือช่วงเป็นผู้ว่าฯ บวกฐานคนรากหญ้าและหาเช้ากินค่ำที่หาเสียงไว้ช่วงโควิด-19 ระบาด และ กลุ่มรักษ์กรุงเทพฯ ขณะที่ดร.เอ้ศิษย์หลานของไอสไตน์คนเดียวในประเทศไทยก็ต้องหวังพึ่งบุญเก่าของค่ายพรรคสีฟ้าและกลุ่มเยาวรุ่น เช่นเดียวกับสกลธีก็ต้องลุ้นผลงานในช่วงเป็นพระรองว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน ส่วนฝากฝ่ายค้านคงหวังจากเต็ง 1 ที่ชื่อชัชชาติที่ลงพื้นที่มานานประกาศตัวก่อนใครเพื่อน แถมได้แรงหนุนจากคอกชินวัตรพรรคเพื่อไทย หรือวิโรจน์ที่หวังลุ้นจากฐานคนรุ่นใหม่และเสียงจากพวกสามกีบ ขณะที่ผู้พันปุ่นเปิดตัวช้ามาหลังคนอื่นคงยากจะเข้าวินแต่บารมีของเจ๊หน่อยอดีตเจ้าแม่กทม.ก็พอถูไถไปได้ 22 พฤษภาคมนี้ได้รู้กัน

//////////////