นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชนและโชเชียลมีเดียได้รายงานตรงกันว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๔ ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Ni Pornnipa ได้โพสต์เผยแพร่เรื่องราวของตนหลังเจ้าตัวถูกล่อซื้อน้ำส้มจำนวน 500 ขวด ก่อนที่จะโดนถามหาใบอนุญาติพร้อมปรับเงิน 12,000 บาท แม้ต่อมากรมสรรพสามิตจะแถลงว่าไม่มีการเรียกรับเงินเป็นเพียงการแนะนำแม่ค้าเท่านั้นนั้น
แต่เนื่องจากพยานหลักฐานที่ปรากฏ อาจชี้ชัดได้ว่าเป็นพฤติการณ์ของการล่อซื้อสินค้า เพื่อให้ผู้ถูกจับกุมได้กระทำความผิดตามกฎหมายนั้น กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตทั้ง 5 คนที่กระทำการล่อซื้อน้ำส้มจากแม่ค้าดังกล่าว ว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ โดยเฉพาะในยุคที่ประชาชนต่างดิ้นรนขนขวายหาเลี้ยงชีพในยามที่เศรษฐกิจตกต่ำในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 อย่างมากในขณะนี้ หลายคน หลายครอบครัวต้องตกงาน ไร้อาชีพ ไร้รายได้ จนรัฐบาลต้องให้ความช่วยเหลือ ต้องออกพระราชกำหนดหลายต่อหลายครั้ง เพื่อกู้เงินมาช่วยเหลือผ่านนโยบายสวัสดิการต่าง ๆแต่เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต กลับไม่คำนึงถึงสถานการณ์ของปัญหาทางสังคม แต่อย่างใด กลับมุ่งปฏิบัติและบังคับใช้กฎหมายในทางนิติศาสตร์ โดยไม่พิจารณาถึงหลักรัฐศาสตร์ในยามนี้
ทั้งนี้ การล่อซื้อน้ำส้มจากแม่ค้า น่าจะเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการล่อซื้อ เป็นการแสวงหาหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามกฎหมาย เนื่องจากเคยมีแนวทางการพิจารณาคดีของศาลปรากฏมาแล้วว่า การล่อซื้อ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจะถือว่าผู้ถูกจับไม่ได้กระทำความผิดกฎหมาย เป็นกรณีที่ผู้ถูกจับไม่ได้มีเจตนาจะทำผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น แต่ถูกสายลับ สายสืบหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกอุบาย ล่อลวงให้หลงเชื่อ แล้วกนะทำตามที่ถูกอุบายนั้นๆ ซึ่งศาลตีความว่า เป็นการกระทำผิดเพราะกลอุบายของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้ที่อ้างตนว่าเป็นผู้เสียหาย ล่อลวงให้ผู้ถูกจับกระทำผิดกฎหมาย ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4301/2543 ที่4077/2549 และที่ 9600/2554
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงนำความมาร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ใช้อำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ม.234(2) ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 ม.28(2) เพื่อไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อไป นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด