สาวลูกจ้างประจำวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแปดริ้ว หลงกลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แจ้งมีพัสดุตกค้างผิดกฏหมายอยู่ที่ประเทศจีน ก่อนจะใช้กลอุบายหลอกถามเลขบัตรประชาชน โยงเข้าไปมีส่วนพัวพันกับธุรกิจฟอกเงิน ซึ่งตนเองเคยทำบัตรประชาชนและสมุดบัญชีธนาคารหายเมื่อ 18 ปี ก่อน จึงไม่มั่นใจว่าจะมีคนเก็บได้และนำไปขายให้กับแก๊งฟอกเงิน จึงเกิดความกลัวว่าอาจถูกดำเนินคดีหลงโอนเงินไปให้แก๊งมิจฉาชีพ มารู้ตัวตอนหลังว่าถูกหลอก จึงเดินทางเข้าแจ้งความ ช่วงสายวันนี้ ( 7 เม.ย. 65 ) ผู้สื่อข่าวได้รับการติดต่อจาก นางเพ็ญศรี โคตรสมบัติ อายุ 38 ปี ลูกจ้างประจำวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ว่าตนเองถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอก สูญเงินไป 5,700 บาท ทั้งๆที่ตนเองก็เอะใจแล้ว แต่ก็มาเสียรู้เพราะไม่มั่นใจสมุดบัญชีธนาคารเก่าของตน จึงถูกข่มขู่โยงคดีฟอกเงิน หวั่นกระทบกับหน้าที่การงาน จึงเสียรู้ เลยอยากนำเรื่องนี้มาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้และระวังแก๊งมิจฉาชีพที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้
นางเพ็ญศรี เปิดเผยว่า เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ( 6 เม.ย.65 ) ประมาณ 4 โมงเย็น มีโทรศัพท์ติดต่อมาหาตน อ้างว่าโทรมาจากพนักงานของ J&T บอกว่าตนเองมีพัสดุตกค้าง อยู่ที่ปักกิ่งประเทศจีน ซึ่งพัสดุดังกล่าวตรวจสอบแล้วอาจเป็นสิ่งผิดกฏหมาย ตอนแรกตนเองก็มั่นใจว่าไม่เคยส่งพัสดุอะไรไปต่างประเทศ ก่อนจะมีการพูดจาหว่านล้อมให้ตนเองแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่าต้องไปแจ้งความที่ สภ.เมืองตาก แต่ตนเองไม่สะดวกเพราะอยู่ฉะเชิงเทรา โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์แสดงตนเพื่อช่วยเหลือ ทำทีโอนสายไปให้ตำรวจที่ปลายสายระบุว่า เป็นตำรวจอยู่ที่ สภ.เมืองตาก ก่อนจะมีการพูดคุยกันในเบื้องว่าตนเองมีพัสดุผิดกฏหมายตกค้างอยู่จริง จากนั้นตำรวจปลายสายให้ตนเองแอดไลน์ เพื่อคุยรายละเอียดต่อ เมื่อตนเองแอดไลน์เข้าไป พบว่าหน้าโปรไฟล์เป็นรูปโลโก้สัญลักษณ์ของตำรวจภูธรจังหวัดตาก จากนั้นมิจฉาชีพได้ขอเลขบัตรประจำตัวประชาชน สอบถามวันเดินปีเกิด ที่ทำงาน และเรื่องส่วนตัวบางอย่าง ตนเองเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้บอกไปเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในการตรวจสอบพัสดุผิดกฏหมาย หลังทำการตรวจสอบได้สักพัก มิจฉาชีพได้แจ้งกลับมาว่า ตนเองมีคดีเพิ่มคือคดีมีส่วนพัวพันเกี่ยวกับการฟอกเงินของนายสมศักดิ์ ศักดิ์ดี ที่เจ้าหน้าที่ ปปง.จับกุมได้เมื่ออาทิตย์ก่อน ก่อนจะส่งไฟล์ภาพขณะจับกุมและหนังสือราชกิจจานุเบกษา คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมว่า นายสมศักดิ์ มีคดีเกี่ยวกับคดีฟอกเงินจริง โดนนายสมศักดิ์ ได้ซักทอดว่าได้ซื้อบัญชีธนาคารกรุงเทพมาจากตน เพื่อใช้ในการฟอกเงิน ตนเองก็ได้แจ้งกลับไปว่า ไม่รู้จักกับนายสมศักดิ์ แต่ไม่มั่นใจในเรื่องของสมุดบัญชีธนาคารกรุงเทพของตน ที่เมื่อ 18 ปีที่แล้วได้หล่นหายพร้อมบัตรประชาชน เกรงว่ามีคนเก็บได้และนำไปขายต่อให้แก๊งมิจฉาชีพ
ตนเองจึงหลงกลถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินในบัญชีเพื่อตรวจสอบ ว่ามีความพัวพันไหม ด้วยความกลัวว่าถ้าตนเองมีคดีไปเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่อาจจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตน จึงได้โอนเงินไปทั้งหมด 3 ครั้ง จำนวน 5,700 บาท เพื่อให้มิจฉาชีพตรวจสอบ หลังโอนเงินไปรอบสุดท้าย มิจฉาชีพได้แจ้งกลับมาว่าให้ตนเองรอ ประมาณ 20 นาทีเพื่อทำการตรวจสอบ ตนเองเริ่มเอะใจอีกครั้งว่าทำไมตรวจสอบได้เร็ว จึงได้ติดต่อกลับไปแต่ไม่สามารถติดต่อได้ โทรศัพท์กลับไปก็ไม่มีคนรับ มั่นใจแล้วว่าตนเองถูกหลอก จึงเดินทางเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา นางเพ็ญศรี ยังฝากเตือนประชาชนว่า หากไม่อยากโดนหลอกเหมือนตน ให้ตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดหรือโทรศัพท์หาคนที่สนิทให้ช่วยตรวจสอบว่าจริงไหม ก่อนจะทำการโอนเงินหรือทำอะไรต่อไป ตนเองก็เอะใจแล้วแต่ก็กลัวเรื่องคดี จึง หลงกล จึงอยากนำเรื่องนี้มาเตือนภัยไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพพวกนี้อีก
สราวุฒิ บุญสร้าง ผู้สื่อข่าวTOPNEWS ประจำ จ.ฉะเชิงเทรา