“อภิสิทธิ์” แจงยิบเหตุการณ์ 10 เมษา 53

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 10 เม.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว Top News หลังอดีตแกนนำนปช.รำลึกเหตุการณ์ 12 ปีเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53 โดยยืนยันว่าการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีอาวุธ และไม่มีชายชุดดำว่า เหตุการณ์ความสูญเสียทุกครั้งที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมทางการเมืองก็เป็นที่น่าเสียใจ และเป็นเหตุการณ์ที่สมควรตรวจสอบ ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งตนยืนยันมาตลอด โดยส่วนตัวตนได้แสดงความเสียใจในวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ และพยายามที่จะให้กระบวนการตรวจสอบมีความโปร่งใสมากที่สุด

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนขออธิบายในส่วนของกระบวนการคือ เหตุการณ์ในปี 53 เห็นได้ว่ารัฐบาลของตนหลังเหตุการณ์สิ้นสุดลงไม่ได้ทำเหมือนหลายเหตุการณ์ในอดีตก่อนหน้านั้น คือการออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรือพยายามปฏิเสธการตรวจสอบ ตรงกันข้ามมีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้ดำเนินการตรวจสอบหลังจากที่รัฐบาลของตนพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว รวมถึงการได้ข้อสรุปที่มีการเปิดเผยหมดทุกอย่าง ถือว่าเป็นการเผยแพร่การตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก และไม่ได้มีความพยายามต้องการนิรโทษกรรมจากรัฐบาลที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น การเสนอนิรโทษกรรมเกิดขึ้นครั้งเดียวในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งพวกตนยังคัดค้าน ในขณะที่อดีตแกนนำนปช.ไม่คัดค้าน ทั้งที่อยู่ในสภาฯ

“เป็นสิ่งที่อยากยืนยันว่ารัฐบาลของผมต้องการให้ข้อเท็จจริงปรากฎ และตรวจสอบได้ ต่อมารัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องผมและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ขณะที่ช่วงที่ผมเป็นรัฐบาลได้มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ ดังนั้นหลังผมพ้นจากตำแหน่งการตรวจสอบจึงยังคงดำเนินขึ้นสองทางคือดีเอสไอที่ต่อมาศาลได้ยกฟ้อง ขณะที่ป.ป.ช.ยกคำร้องหลังใช้เวลาตรวจสอบนานพอสมควร ซึ่งทั้งสองคดีที่ผมและนายสุเทพถูกกล่าวหาได้ยื่นเอกสารการสั่งการทั้งหมดในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าเราไม่ประสงค์ให้เกิดความรุนแรง สูญเสีย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีที่มีความสูญเสียเกิดขึ้นและมีคำถามว่าเหตุใดจึงไม่ดำเนินการต่อ ตำรวจและดีเอสไอส่งเรื่องฟ้องศาลนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อมีการไต่สวนความสูญเสียที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณีและศาลก็ชี้เบื้องต้นว่ากระสุนอาจจะมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ โดยสิ่งที่ตำรวจต้องทำคือไปดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดว่าความสูญเสียเกิดขึ้นอย่างไร โดยใคร ภายใต้คำสั่งของใคร มีสภาวะแวดล้อมอย่างไร แต่ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ตำรวจและดีเอสไอกลับบอกว่าไม่ต้องไปตรวจสอบเรื่องพวกนี้ แต่ให้ดำเนินคดีกับตนและนายสุเทพในฐานะผู้สั่งการเท่านั้น ซึ่งก็เป็นที่มาของคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล และต่อมายกฟ้อง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนหนึ่งที่กระบวนการไม่เดินหน้า เพราะรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์มีเป้าหมายเดียวคือต้องการดำเนินคดีกับตนและนายสุเทพเท่านั้น เช่นเดียวกันในวันที่ป.ป.ช.ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่าการใช้อำนาจหน้าที่และการสั่งการของตนและนายสุเทพเป็นไปตามกฎหมาย แต่ป.ป.ช.ก็ยังขมวดเอาไว้ว่าความจริงแล้วการสูญเสียที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณีสามารถให้ตำรวจไปดำเนินการ ดังนั้นการดำเนินการเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงหรือเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในเรื่องนี้ยังสามารถดำเนินการต่อได้ แต่ถ้าจะกล่าวหาว่าตนไปพยายามปิดกั้นหรือไม่ยอมรับการตรวจสอบ คงไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

“ผมเห็นด้วยว่าควรดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด เพราะเชื่อว่าในหลายกรณียังเป็นที่ค้างคาใจของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในวัดปทุมฯ ที่แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นในวันที่ 10 เม.ย. 53 ก็ตาม หรือกรณีพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ถูกลอบสังหารก็ควรจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป นั้นคือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทั้งหมด” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 ที่เป็นปัญหาใหญ่คือเกิดขึ้นในช่วงค่ำ คือรัฐบาลได้ส่งทหารเข้าไปขอคืนพื้นที่บริเวณถ.ราชดำเนิน ซึ่งการดำเนินการเข้าไปไม่ได้นำกระสุนจริงเข้าไป และไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จจนค่ำก็ได้หยุดปฏิบัติการ แต่ระหว่างนั้นมีการยิงระเบิดเอ็ม 79 เป็นเหตุให้นายทหารเสียชีวิต หลังจากนั้นเมื่อถอนกำลังออกมาก็เกิดเหตุการณ์ในลักษณะการต่อสู้และปรากฎกรณีคนติดอาวุธแฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเรื่องนี้มีการยืนยันทั้งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทุกคณะ รวมถึงศาลอุทธณ์เคยมีคำพิพากษาว่ามีบุคคลครอบครองอาวุธอยู่ในกลุ่มนี้ และเมื่อตัดสินแล้วไม่มีการยื่นฎีกา เพราะฉะนั้นนี่คือเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียขึ้น ตนยืนยันว่ามาตลอดว่าต้องแยกแยะระหว่างคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ชุมนุมโดยสุจริตปราศจากอาวุธ แต่ปัญหาความสูญเสียที่เกิดขึ้นคือการปรากฎตัวของคนติดอาวุธ ทำให้ปฏิบัติการของรัฐบาลหรือกองทัพในขณะนั้นที่พยายามเข้าไปขอคืนพื้นที่จึงเกิดการต่อสู้และเกิดความสูญเสียขึ้น นี่คือข้อเท็จจริงพื้นฐาน โดยสรุปตนเข้าใจว่าสำหรับคนที่อยากจะได้รับทราบข้อเท็จจริง มันยังมีช่องทางที่จะดำเนินการอยู่ และตนสนับสนุนมาตลอดให้ดำเนินการต่อไป แต่การกล่าวหาในบางเรื่อง ตนจำเป็นต้องชี้แจงในข้อเท็จจริง

ผู้สื่อข่าวถามว่า อดีตแกนนำนปช.ยังคงยัดเยียดให้ศอฉ.เป็นผู้ร้าย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนขอย้ำว่าผลสรุปของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายคณิตมีรายละเอียดเยอะมากในแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีคณะกรรมการที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลมาตรวจสอบ อาจจะยังมีความรู้สึกว่าการกระทำของรัฐบาลเหมาะสมแล้วหรือยัง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธถึงการมีผู้ติดอาวุธแฝงตัวอยู่ จึงอยากย้ำว่าเป็นการยากของคนที่ทำงานในขณะนั้น เพราะเจตนาของคนที่มาชุมนุมโดยสุจริตไม่มีปัญหา เข้าใจถึงสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การชุมนุมที่ต่อมาศาลบอกว่าเกินขอบเขต รัฐบาลก็พยายามขอคืนพื้นที่และวิธีหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรงและความสูญเสีย แต่ความยากทั้งหมดก็เกิดขึ้นจากการที่มีกลุ่มคนติดอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง

เมื่อถามว่า อดีตแกนนำยังยืนยันไม่มีการเผาบ้านเผาเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเผาไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในกทม. แต่เกิดขึ้นต่างจังหวัดด้วย และอยากที่จะแยกออกจากคำปราศรัยของแกนนำ ที่พูดชัดเจนว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นให้เผา เพราะฉะนั้นการเผาศาลากลางในหลายจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีการกระทำผิด ในส่วนของกทม.การเผาเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพียงแต่การจับกุมคนที่เกี่ยวข้องและต่อมามีการดำเนินคดีและยกฟ้อง แต่ในบางพื้นที่เช่นการเผาห้างเซ็นเตอร์วัน ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการก่อการร้าย เชื่อมโยงกับการชุมนุม แม้กระทั่งผู้ที่เสียหายจากการเผาไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยจากประกันภัย เพราะศาลชี้ว่าเป็นการก่อการร้าย ดังนั้นตนอยากเรียนว่า อยากให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า หลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาตนเห็นว่าทุกคนมีส่วนไม่มากก็น้อยที่ต้องรับผิดชอบ และตนเชื่อว่าความสูญเสียทุกครั้งคนส่วนใหญ่และตนรู้สึกเสียใจ และอยากให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้าในการแก้ไขสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่าพยายามกลับไปสู่วาทกรรมเดิมๆที่กล่าวหาโดยปราศจากการยืนยันข้อเท็จจริง และน่าจะถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันพยายามก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ด้วยการลืมหรือบอกว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น แต่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงร่วมกัน และเดินไปข้างหน้าด้วยกัน

เมื่อถามว่า ทุกครั้งที่ครบรอบเหตุการณ์จะมีการจัดงานรำลึกเช่นนี้ทุกปี แกนนำจะใช้วลีเดิมๆ จะทำอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละจุดตามที่ป.ป.ช. หรือศาลไต่สวนไว้ก็น่าจะดำเนินการต่อไปตามกระบวนการยุติธรรม และถ้าทุกฝ่ายยอมรับข้อเท็จจริงและรายงานที่มีการตรวจสอบก่อนหน้านี้ก็น่าจะที่เดินไปข้างหน้าได้ดีที่สุดและเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่สุด

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

พิธีรับ-ส่งมอบหน้าที่คณะกรรมการชมรมพยาบาลสี่เหล่า และ มอบ รางวัล "คนดีศรีพยาบาลสี่เหล่า"
ทหารถือปืนคุมเข้ม! หวั่น “พม่า” หนีโรคห่ามาไทย ซีลด่าน-ห้ามเข้าออก
เปิดใจพนักงานขนส่ง ปมทะเลาะ ชกต่อยลูกค้า อ้างถูกยั่วยุก่อน พบดีกรีเป็นถึงอดีตแชมป์มวยดัง
"อ.สุขุม" ชี้ชัด "ภท." ไม่ใช่พรรคอีแอบ ทำหน้าที่แทนอนุรักษ์นิยม โหวตสวนประชามติแก้รธน.
ซานต้า ซานตี้ กว่า 500 คน ร่วมงานวิ่งสุด FUN สนุก RUN ส่งท้ายปี ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส สร้างสีสันริมชายหาดพัทยา
ผู้สมัคร ส.อบจ.พรรคปชน. นครปฐม ติดป้ายขวางทางเท้า เจอชาวบ้านโวยเพียบ
ตร.บุกค้นบ้านสาวคนสนิท "โกทร" คลี่ปมสังหาร "สจ.โต้ง"
โจรใต้กระหน่ำยิง อส.ดับคาที่! แถมกระพือข่าวมั่ว-ป้ายสีคนตาย
"พิชัย" สะท้อนผ่านเวที ม.โตเกียว ยันการเมืองไทยมั่นคง เร่งเจรจา FTA ชวนญี่ปุ่นขยายลงทุน
สาวสองโหด พาเพื่อนรุมทำร้าย "แม่ลูกอ่อน" ถึงบ้าน บังคับกราบเท้า พร้อมถ่ายคลิปไปลงโซเชียล

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น