ที่ทำเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 หรือ ศบค. แถลงภายหลังการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานว่า ศบค.ได้เห็นชอบในแนวทางปฏิบัติที่จะเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในส่วนของจังหวัดภูเก็ต เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป โดยนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปติดตามในวันที่ 1 กรกฎาคม เพื่อเยี่ยมชมและ คิกออฟเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี พื้นที่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า คงจะเป็นสเต็ปถัดไป
นายแพทย์ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้มอบการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นผู้นำเสนอต่อที่ประชุม ถึงหลักการเปิดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวที่ จ.ภูเก็ตและสุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ มีรายละเอียดตั้งแต่ก่อนเดินทาง เมื่อเดินทางมาถึง ขณะพำนัก กระทั่งเดินทางออกจากประเทศ โดยให้ความสำคัญถึงกลุ่มคนที่เราจะรับเข้ามาจะต้องเป็นมาจากประเทศที่ทางกระทรวงสาธารณะสุขกำหนดว่าเป็นประเทศเสี่ยงต่ำ หรือเสียงปานกลาง และจะต้องได้รับวัคซีนมาแล้ว ซึ่งกำหนด 5 ตัว ได้แก่ ซิโนแวค แอสตราเซเนกา ซิโนฟาร์ม โมเดอร์นา จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน หรือไฟเซอร์ หรือ ยี่ห้ออื่นๆ ก็รอให้ WHO รองรับด้วย ต้องได้รับมาแล้วอย่างน้อย 2 เข็มหรืออย่างน้อย 14 วัน เมื่อลงเครื่องบินแล้วต้องทำนักอยู่ที่ภูเก็ต 14 คืน ถ้าอยู่น้อยกว่านั้นจะต้องเป็นการเดินทางกลับออกนอกราชอาณาจักรไทยเท่านั้น
อย่างไรก็ตามกระทรวงสาธารณสุขมีข้อห่วงใยจึงขอให้มีมาตรฐานกำกับเพิ่มอีก 3 ข้อ คือ 1. ต้องจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการเรื่องสถานการณ์ โควิด-19 เพื่อให้มีการติดตามข้อมูล การติดเชื้อ การดูแลทรัพยากรบุคลากรด้านสาธารณสุข และด้านการท่องเที่ยว รวมไปถึงภาคประชาสังคม 2.การเตรียมความพร้อมของประชาชน โดยต้องจัดเวทีความคิดเพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงการสื่อสาร 3. การเตรียมความพร้อมมาตรการการเฝ้าระวังซึ่งจะต้องมีอยู่ตลอดเวลา
โฆษก ศบค. ระบุว่า มีการพิจารณาว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจึงจะมีการปิด ซึ่งพูดถึงการติดเชื้อรายใหม่ มากกว่า 90 รายต่อสัปดาห์ ลักษณะการกระจายโรคในจังหวัด ทั้ง 3 อำเภอมากกว่า 6 ตำบล และระบาดเกินกว่า 3 คลัสเตอร์ ระบาดในวงกว้าง หรือหาสาเหตุของความเชื่อมโยงไม่ได้ หรือความพร้อมในการรองรับผู้ป่วย อัตราการครองเตียงมีมากตั้งแต่ 80% ขึ้นไป