"Omicron" โอมิครอนมาแรง กระจายเร็ว กรมวิทย์ฯ เผยวัคซีน 2 เข็ม ไม่พอ ปัจจุบัน ภูมิแทบไม่เหลือ แนะฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ลดการป่วยหนักได้
ข่าวที่น่าสนใจ
“Omicron” เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงการณ์เรื่องภูมิคุ้มกันโควิดสายพันธุ์ย่อย BA.2 เผยว่า การระบาดระลอกที่ 5 นี้ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 พบ 95.9% เหลือ BA.1 อยู่เพียง 4% คาดว่าอีก 1-2 สัปดาห์ BA.2 จะเพิ่มขึ้น 100% ส่วนสายพันธุ์เดลตาในประเทศไทย ตอนนี้แทบจะไม่พบแล้ว
จากการวัดระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน พบว่าสามารถจัดการกับ BA.2 มากกว่า BA.1 จึงไม่ต้องกังวลว่า จะป้องกันไม่ได้ และที่บอกว่า BA.2 หลบภูมิคุ้มกันได้มากกว่า อาจไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องย้ำเตือน คือ กลุ่มที่ฉีดวัคซีน 2 เข็ม พบว่าภูมิคุ้มกันตกไปเรื่อย ๆ เมื่อผ่านไป 1 เดือน คนที่ฉีดซิโนแวค หรือ แอสตราเซนเนกา 2 เข็ม ภูมิแทบไม่เหลือ ควรบู๊ทเข็มที่ 3 ไม่ว่าจะฉีดด้วยแอสตราเซนเนกา หรือ ไฟเซอร์ หลังผ่าน 3 เดือน ภูมิก็ยังสูงอยู่
จากผลการศึกษาของกรมควบคุมโรค ในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่า
- คนที่ไม่ฉีดวัคซีน เสียชีวิต 767 ต่อล้านคน
- คนที่ฉีด 1 เข็ม เสียชีวิต 366 คนต่อล้านคน
- คนที่ฉีด 2 เข็ม เสียชีวิต 145 คนต่อล้านคน
- คนที่ฉีด 3 เข็ม เสียชีวิต 25 คนต่อล้านคน (อัตราตายลดลง 31 เท่า)
- คนที่ฉีด 4 เข็ม ตัวเลขผู้ฉีดยังน้อยมาก และยังไม่พบผู้เสียชีวิต
สรุปและข้อเสนอแนะ
- ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มหรือ 3 เข็มกระตุ้น จะมีภูมิคุ้มกันโอมิครอน BA.2 สูงกว่า BA.1
- ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม นาน 1 เดือน ควรได้รับเข็มกระตุ้น เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันโอมิครอน BA.2
- ผู้ได้รับวัคซีนครบทุกสูตร 2 เข็มแล้ว ควรกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วย ไฟเซอร์ หรือ แอสตราเซนเนกา สามารถลบล้างฤทธิ์โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 และป้องกันการเกิดโควิดได้ดีกว่าการได้รับเพียง 2 เข็ม
นอกจากนี้ กรมวิทย์ฯ ยังแนะนําให้ฉีดเข็ม 3 กระตุ้น (booster dose) โดยเร็วในคนที่ได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยลดการนอนโรงพยาบาล การเกิดความรุนแรงถึงปอดอักเสบ
ข้อมูล : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง